วิธีบำบัด อาการไมเกรน

อาการไมเกรน เป็นอาการปวดศีรษะตุบๆ อย่างรุนแรง โดยเริ่มจากบริเวณใกล้ดวงตา หรือบริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นซ้ำๆ มักพบร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ อาจเป็นนานถึง 3 วัน จนผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ ค้นหาว่าปัจจัยใดที่กระตุ้นให้เกิดอาการ แล้วหลีกเลี่ยง เป็นไมเกรนต้องเลี่ยงอะไรปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรน มีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกร่างกาย ที่ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงมีดังต่อไปนี้
1.อาหารที่มีสารกระตุ้นอาการเริ่มแรกของไมเกรน เช่น ไนไทรต์ ซึ่งพบในเบคอน ฮอตดอก และเนื้อหมัก ไทรามีน พบในไวน์แดง ตับไก่ อาหารที่ใช้ยีสต์ แทนนิน พบมากในถั่วเปลือกแข็ง น้ำแอปเปิล องุ่น เบอร์รี่ ชา กาแฟ และไวน์แดง ซัลไฟต์ ที่ใช้ในการหมักไวน์และผลไม้แห้ง โมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือผงชูรส นอกจากนั้นแล้ว ยังมีช็อกโกแลต เนยแข็ง อาหารทอด และผลไม้จำพวกส้ม
2.น้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากหิวหรือกินอาหารคาร์โบไฮเดรตขัดขาวมากเกินไป
3. อยู่ในภาวะขาดน้ำ
4.ความเครียด และความวิตกกังวล รวมถึงอาการช็อก
5.นอนหลับหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
6.อยู่ในที่ที่แสงจ้า หรือได้รับแสงจ้าเกินไป
7.อยู่ในสถานที่หรือได้รับฟังเสียงดัง
8.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือฤดูกาล อากาศแห้งหรือลมร้อนแห้ง
9.การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายหรือการกินยาคุม
หากหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวแล้ว แต่ยังมีอาการ สามารถเลือกวิธีบำบัดด้วยตัวเองได้หลายวิธี
อาหารต้านไมเกรน
เนื่องจากระบบย่อยและดูดซึมแมกนีเซียมของผู้ป่วยไมเกรน มักมีประสิทธิภาพไม่ดี ช่วงก่อนมีอาการหรือกำลังมีอาการ จึงพบว่ามักมีปริมาณแมกนีเซียมลดต่ำลง อาหารที่มีแมกนีเซียม จึงช่วยให้ความถี่และความรุนแรงของอาการน้อยลงได้ ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง (ยกเว้นถั่วเปลือกแข็ง ซึ่งแม้จะมีแมกนีเซียมสูง แต่กลับมีสารแทนนินที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน) และฟักทองนอกจากแมกนีเซียมแล้ว ผู้มีอาการไมเกรนซึ่งมีพลังงานสำรองในสมองต่ำ จึงต้องการไรโบฟลาวิน เพื่อช่วยเพิ่มพลังสำรองในเซลล์สมอง อาหารที่มีไรโบฟลาวินสูง ได้แก่ เห็ดหอมสดและผักหวานบำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหยสูตรพิเศษน้ำมันหอมระเหย มีสรรพคุณช่วยให้การสื่อสารกัน ระหว่างระบบประสาทต่างๆ ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถปรับสมดุลของอารมณ์และจิตใจ ให้อยู่ในภาวะดียิ่งขึ้นได้

วิธีการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการเยียวยาอาการไมเกรน มีดังนี้ค่ะ
นวดน้ำมันหอมระเหย
ลองหาน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) อย่าง เปปเปอร์มินต์ (peppermint) ที่มีสรรพคุณช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่า และลาเวนเดอร์ (lavender) ที่ช่วยคลายกังวล ลดความเครียด และอาการซึมเศร้า ติดบ้านไว้บ้าง เมื่อรู้ตัวว่าจะเป็นไมเกรน หรือมีอาการปวด ให้ผสมน้ำมันหอมทั้งสองชนิดนี้อย่างละ 1 หยด ผสมกับน้ำมันอัลมอนด์หอม (sweet almond) 2 ช้อนชา นวดบริเวณขมับและต้นคอเบาๆประคบด้วยน้ำมันหอม ช่วงที่รู้สึกว่ามีอาการเครียดจัดต่อเนื่อง ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์หรือมาร์จอแรม (marjoram) ประมาณ 2-3 หยด ผสมน้ำ จุ่มผ้าบิดหมาดๆ นำมาประคบบริเวณขมับและหน้าผากทุกวันนอกจากการประคบด้วยน้ำมันหอมระเหยแล้ว การประคบโดยใช้อุณหภูมิของน้ำที่แตกต่างกัน ก็ช่วยให้อาการปวดศีรษะทุเลาเบาบางลงได้ (น้ำมันหอมระเหยหาซื้อได้ จากห้างสรรพสินค้าทั่วไป และร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ)
ประคบร้อนและเย็นบรรเทาอาการ
วิธีที่ 1
ประคบเย็นที่หน้าผากหรือคอ ถ้าอาการไม่บรรเทา ให้ประคบร้อนและเย็นพร้อมกัน โดยประคบเย็นที่หน้าผากและประคบร้อนที่ท้ายทอย ประคบสลับที่กันทุก 2 นาที ทำได้ถึง 6 รอบ•
วิธีที่ 2
ใช้ผ้าอุ่นจัดวางที่ท้ายทอย แล้วนวดคอ ไหล่ และสะบัก แล้วใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นคลึงเบาๆ ที่ขมับ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า วิธีนี้ช่วยลดอาการปวดไมเกรนเนื่องจากความเครียด
นอกจากการประคบแล้ว ยังมีการนวดกดจุดที่ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน
คลายปวดกับนวดกดจุดการกดจุดเพื่อบรรเทาอาการไมเกรนมีอยู่ 3 จุดด้วยกัน
คือมือ ให้กดตรงเนินเนื้อที่เชื่อมระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้ในแนวตรงสู่กระดูกนิ้วหัวแม่มือ
•คอด้านบน ให้กดย้อนขึ้นไปทางใต้กะโหลกศีรษะข้างๆ กระดูกคอ
•เท้า กดที่เนินเนื้อที่เชื่อมต่อหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ กดไปทางฝ่าเท้า

ท้ายสุด ขอแถมด้วยชาสมุนไพรคลายอาการปวดให้ครบเครื่องเรื่องการเยียวยาไมเกรนกันไปเลยค่ะ
ชาสมุนไพรแก้ปวด
•ใช้รากบวบกลม หรือบวบเหลี่ยมสด หนัก 1 ขีด ต้มน้ำใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มเป็นน้ำชา
•น้ำขิงจากเหง้าขิงแก่ และน้ำต้มจากต้นกะเพราแดง อาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ ที่มักเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะได้
ใช้ผล ต้น ใบ ดอก และรากของมะตูมนิ่มมาต้มรับประทาน ช่วยแก้ปวดศีรษะ ตาลาย

ข้อมูล จาก postallfree

ลงตัวเกณฑ์ใหม่ประเมินวิทยฐานะ



จะมีระบบ Fast track ให้ครูสามารถเลื่อนประเมินข้ามวิทยฐานะได้ เช่น ระดับชำนาญการ ขอเสนอประเมินระดับเชี่ยวชาญได้ ...ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เผยภายหลังการประชุม อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเฉพาะกิจ เพื่อพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีและเลื่อนวิทยฐานะว่า ที่ประชุมได้พิจารณาการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีและเลื่อนวิทยฐานะ ว 2 ที่เดิมจะประกาศใช้ในเดือน ต.ค. 2551 แต่ต้องชะลอไว้ก่อนเพื่อปรับปรุงใหม่ โดยในการประชุมได้นำข้อมูลจากการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหาร ครู ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนสมาคมและสมาพันธ์ครู เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. มาประกอบการพิจารณา ซึ่งได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมชัดเจนแล้ว และจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาวันที่ 29 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้กรอบเกณฑ์ใหม่จะเน้น 3 ด้านหลัก คือ 1. ด้านวินัย คุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ จะดูจากทะเบียนประวัติ การประเมินด้านคุณธรรมจริยธรรมและการมีส่วนร่วมในด้านสังคม ด้านที่ 2. ความรู้ความสามารถ แบ่งเป็นแฟ้มสะสมงาน วุฒิบัตรความรู้ความสามารถของครูให้ค่าน้ำหนักร้อยละ 50 และ 3. ด้านผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ค่าน้ำหนักร้อยละ 60 และผลงานทางวิชาการ ค่าน้ำหนักร้อยละ 40 โดยเกณฑ์ตัดสินด้านนี้ต้องได้ คะแนนประเมินผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ทั้ง 2 ส่วน และคะแนนรวมเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ผู้ขอรับการประเมินจะต้องได้ คะแนนแต่ละด้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 70ปลัดกระทรวงศึกษาฯ กล่าวด้วยว่า เกณฑ์ใหม่ จะมีระบบ Fast track ให้ครูสามารถเลื่อนประเมินข้ามวิทยฐานะได้ เช่น ระดับชำนาญการ ขอเสนอประเมินระดับเชี่ยวชาญได้ หรือชำนาญการพิเศษเสนอวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษได้ ซึ่งเกณฑ์ปัจจุบันไม่ได้เปิดช่องไว้ให้ ถ้าที่ประชุม ก.ค.ศ.เห็นชอบเกณฑ์ใหม่ ก.ค.ศ.ต้องทำรายละเอียดต่างๆ จากนั้นจะจัดทำคู่มือแนวปฏิบัติให้เกิดความชัดเจนว่าการประเมินวิทยฐานะชำนาญการพิเศษจะเน้นงานวิจัยในหน้าที่การสอนของครู ไม่ใช่งานวิจัยที่เป็นเล่มหนาๆ และจะจัดอบรมทำผลงานวิชาการแบบอีเทรนนิ่งให้กับครูด้วย.จะมีระบบ Fast track ให้ครูสามารถเลื่อนประเมินข้ามวิทยฐานะได้ เช่น ระดับชำนาญการ ขอเสนอประเมินระดับเชี่ยวชาญได้ ...ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เผยภายหลังการประชุม อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเฉพาะกิจ เพื่อพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีและเลื่อนวิทยฐานะว่า ที่ประชุมได้พิจารณาการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีและเลื่อนวิทยฐานะ ว 2 ที่เดิมจะประกาศใช้ในเดือน ต.ค. 2551 แต่ต้องชะลอไว้ก่อนเพื่อปรับปรุงใหม่ โดยในการประชุมได้นำข้อมูลจากการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหาร ครู ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนสมาคมและสมาพันธ์ครู เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. มาประกอบการพิจารณา ซึ่งได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมชัดเจนแล้ว และจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาวันที่ 29 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้กรอบเกณฑ์ใหม่จะเน้น 3 ด้านหลัก คือ 1. ด้านวินัย คุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ จะดูจากทะเบียนประวัติ การประเมินด้านคุณธรรมจริยธรรมและการมีส่วนร่วมในด้านสังคม ด้านที่ 2. ความรู้ความสามารถ แบ่งเป็นแฟ้มสะสมงาน วุฒิบัตรความรู้ความสามารถของครูให้ค่าน้ำหนักร้อยละ 50 และ 3. ด้านผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ค่าน้ำหนักร้อยละ 60 และผลงานทางวิชาการ ค่าน้ำหนักร้อยละ 40 โดยเกณฑ์ตัดสินด้านนี้ต้องได้ คะแนนประเมินผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ทั้ง 2 ส่วน และคะแนนรวมเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ผู้ขอรับการประเมินจะต้องได้ คะแนนแต่ละด้านไม่น้อยกว่าร้อยละ 70ปลัดกระทรวงศึกษาฯ กล่าวด้วยว่า เกณฑ์ใหม่ จะมีระบบ Fast track ให้ครูสามารถเลื่อนประเมินข้ามวิทยฐานะได้ เช่น ระดับชำนาญการ ขอเสนอประเมินระดับเชี่ยวชาญได้ หรือชำนาญการพิเศษเสนอวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษได้ ซึ่งเกณฑ์ปัจจุบันไม่ได้เปิดช่องไว้ให้ ถ้าที่ประชุม ก.ค.ศ.เห็นชอบเกณฑ์ใหม่ ก.ค.ศ.ต้องทำรายละเอียดต่างๆ จากนั้นจะจัดทำคู่มือแนวปฏิบัติให้เกิดความชัดเจนว่าการประเมินวิทยฐานะชำนาญการพิเศษจะเน้นงานวิจัยในหน้าที่การสอนของครู ไม่ใช่งานวิจัยที่เป็นเล่มหนาๆ และจะจัดอบรมทำผลงานวิชาการแบบอีเทรนนิ่งให้กับครูด้วย.
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ 26 มิถุนายน 2552

สูตรสำเร็จเพิ่มความฉลาด

สูตรสำเร็จเพิ่มความฉลาด (Star Fashion)
รู้สึกไหมเวลาทำงานเยอะ คิดมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต้องใช้สมองในการทำงาน พอนานไปมักจะคิดอะไรไม่ค่อยจะออก หรือที่หลายคนเรียกว่าความคิดเริ่มต้นๆ ไม่ไฟแรงไอเดีย กระฉูดเหมือนเด็กใหม่ จริงๆ แล้วไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็สามารถที่จะทำให้สมองความคิด จินตนาการของคุณโลดแล่นได้เสมอๆ เพียงแค่หมั่นฝึกและพัฒนาสมองให้ถูกวิธีเท่านั้นเองค่ะ

ลดปริมาณแอลกอฮอล์ เพราะจะส่งผลต่อการปลดปล่อยสาระสำคัญในสมอง โดยจะไปขัดขวางความสามารถในการสร้างความจำใหม่ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นชื่อ ตัวเลขและเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการระลึกเหตุการณ์หรือเรื่องราวเก่าๆ ในอดีตก็จะถูกบั่นทอนไปอีกด้วย

บริหารสมองอย่างสม่ำเสมอ รู้หรือไม่ว่ายิ่งเราใช้สมองมากและบ่อยเท่าไหร่เซลล์สมองก็จะยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะส่งผลให้ความสามารถในการจำดีขึ้นตามไปด้วย หากิจกรรมยามว่างที่คุณและเพื่อนๆ ชื่นชอบ เช่น การเล่นหมากฮอสต่อจิ๊กซอว์ หรือเล่นคอรสเวิร์ดในเวลาว่าง

ทำสมาธิ สมองของคนเรานั้นทำงานที่ความถี่หรือคลื่นสมองที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำหรือคิดอยู่ ภายใต้ความเครียดที่เกิดขึ้นคลื่นเบต้าของสมองจะทำงานเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้สมองลืมสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นเราควรคิดให้ช้าลงโดยการทำสมาธิ หลับตาลงช้าๆ หายใจเข้าเบาๆ ช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ปลายจมูก จากนั้นหายใจออกช้าๆ โดยตั้งสติอยู่ที่ช่องจมูกทางขวา จากนั้นหายใจเข้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เวลาผ่อนลมหายใจออกให้ตั้งสติที่ช่องจมูกทางซ้าย ทำเช่นนี้สลับกันประมาณ 10 นาทีทุกวัน รับรองว่าสมองดื้อๆ ตันๆ จะกลับมาโล่งโปร่งใสเหมือนเดิมค่ะ!

ออกกำลังกาย ขณะที่ร่างกายของเราเคลื่อนไหวนั้นสมองจะได้รับเลือดมากเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นหมายถึงว่าสมองจะได้รับกลูโคสและออกซิเจนมากขึ้นทำให้สมองแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังกายยังไปเพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นความจำของสารเคมีในสมองที่เรียกว่า Brain-Derived Neurotrophic Factor ให้ทำงานได้ดีขึ้นแต่การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไปกลับไม่เกิดประโยชน์ต่อระบบความจำด้วยเช่นกัน

จดบันทึกช่วยจำ เพราะโดยธรรมชาติของสมองเรานั้นเมื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งตรงหน้า ความสามารถในการจดจำสิ่งอื่นก็จะลดลง ฉะนั้นการย้ายข้อมูลจากสมองมาเก็บไว้ในสมุดบันทึกอย่างคอมพิวเตอร์ ปาล์ม สมุดโน้ตหรือโทรศัพท์มือถือก็เหมือนเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของข้อมูล หรือเพิ่มพื้นที่ว่างในสมองเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Star Fashion

วันไปรษณีย์โลก

ในวันที่ 9 ตุลาคม ของทุกๆ ปี จะมีการจัดงานเฉลิมฉลอง วันไปรษณีย์โลก (World Post Day) ซึ่งถือเป็นการครบรอบการก่อตั้งองค์การไปรษณีย์สากล (UPU) ขึ้นในปี 1874 ที่เมืองสวิตส์,เบิร์น และได้ประกาศให้วันนี้เป็นวันไปรษณีย์โลก โดยมติที่ประชุมองค์การไปรษณีย์สากลของโตเกียวประเทศญี่ปุ่นในปี 1969
นับแต่นั้นมาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันนี้ของทุกปี ที่ทำการไปรษณีย์ในหลาย ๆ ประเทศใช้เป็นวันแนะนำสินค้าและบริการใหม่ๆ ของไปรษณีย์ และมีการจัดทำไปรษณีย์ยากรชุดพิเศษขึ้นมาเพื่อจัดจำหน่ายโดยมีระยะสิ้นสุดในวันที่ 9 ตุลาคม จะมีการส่งสารวันไปรษณีย์โลก จาก ผู้อำนวยการขององค์การไปรษณีย์สากลไปยังที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งทั่วโลก เพื่ออ่านคำเฉลิมฉลองผ่านสื่อไปทั่วโลกการไปรษณีย์ในประเทศไทย
สำหรับกำเนิดของการไปรษณีย์ในประเทศไทยนั้นย่อมกล่าว ได้ว่าได้รับอิทธิพลจากการที่กงสุลอังกฤษได้นำเอาระบบการติดต่อสื่อสาร ทางไปรษณีย์มาใช้ติดต่อระหว่างกรุงเทพฯ กับ สิงคโปร์ กล่าวคือ ในราวปี พ.ศ. 2410 ปลายรัชสมัยแผ่นดินรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยได้มีการติดต่อค้าขายและสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศมากขึ้น มีสถานกงสุลต่างประเทศเข้ามาตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ หลายแห่ง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับชาวต่างประเทศในเรื่องธุรกิจการค้า การศาสนามีความใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นกว่ากาลก่อน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องติดต่อส่งข่าวไปมากับต่างประเทศมากขึ้น กงสุลอังกฤษเห็นความจำเป็นดังกล่าวนี้ จึงได้จัดการเปิดรับบรรดาจดหมายเพื่อส่งไปมาติดต่อกับต่างประเทศขึ้น โดยใช้สถานที่ตึกยามท่าน้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาหลังกงสุลอังกฤษเปิด ทำการ โดยใช้ตราไปรษณียากรของสหพันธรัฐมลายาและอินเดีย ซึ่งพิมพ์อักษร "B" ประทับลงบนดวงตราไปรษณียากรนั้น ๆ แทนคำว่า "Bangkok" จำหน่ายแก่ผู้ต้องการส่งจดหมายไปต่างประเทศ แล้วส่งจดหมายเหล่านั้นไปประทับตราวันที่ที่สิงคโปร์ โดยฝากไปกับเรือค้าขายภายใต้ร่มธงอังกฤษเพื่อให้ที่ทำการไปรษณีย์สิงคโปร์จัดส่งจดหมายนั้นไปปลายทาง (การรับ-ส่งจดหมายของกงสุลนี้ได้มีมาช้านานจนกระทั่ง พ.ศ. 2425 จึงได้เลิกไป)
การเริ่มงานไปรษณีย์ติดต่อต่างประเทศโดยกงสุลอังกฤษเป็นผู้จัดการนี้คงจะยังความสนใจให้บังเกิดขึ้นแก่ประชาชนชาวไทยหาน้อยไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางผู้ใหญ่ดังจะเห็นได้จาก การสื่อสารในรูปการไปรษณีย์ที่เกิดขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 2418 -2419 ภายในพระบรมมหาราชวังและเขตพระนครชั้นใน
ในปีพ.ศ.2418 มีพระบรมวงศานุวงศ์ประกอบด้วยเจ้านายรวม11 พระองค์ ภายใต้การนำของ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ทรงร่วมกันออกหนังสือพิมพ์รายวันขึ้นฉบับหนึ่ง มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "Court" และภาษาไทยว่า "ข่าวราชการ" เป็นหนังสือแจ้งข่าว ความเคลื่อนไหวเกี่ยวด้วยข้อราชการและความเป็นไปภายในพระราชสำนัก ซึ่งได้พิมพ์ออกเป็นฉบับแรกเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2418 ความมุ่งหมายใน การจัดพิมพ์หนังสือนี้ขึ้นแต่เดิม พระบรมวงศานุวงศ์กลุ่มนี้ได้ตั้งพระหฤทัยที่จะผลัดเวรกันทรงนิพนธ์เรื่องที่สำหรับจะทูลเกล้าฯ ถวาย และบอกกันใน หมู่เจ้านาย
ครั้นเมื่อหนังสือพิมพ์ข่าวราชการปรากฎขึ้นไม่ช้าก็มีผู้สนใจต้องการพากันมาทูลขอมากขึ้น ต้องพิมพ์เป็นจำนวนมากฉบับกว่าที่ทรงคาดหมายไว้แต่เดิมหลายเท่าจึงจำต้องคิดราคาพอคุ้มทุนที่ลงไปส่วนการจำหน่ายนั้น ชั้นเดิมผู้ต้องการต้องไปรับหนังสือที่สำนักงาน ณ หอนิเพทพิทยาคม ในพระบรมมหาราชวังทุกวัน ต่อมาการไปรับหนังสือไม่พร้อมกันต้องเก็บหนังสือรอค้างไว้จ่ายเป็นจำนวนมาก จึงเป็นความจำเป็นอันหนึ่งที่ทำให้การไปรษณีย์เกิดขึ้น ผู้ทรงเป็นต้นคิดในการนี้ คือสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ พระองค์ทรงโปรดให้มีบุรุษเดินหนังสือข่าวราชการส่งให้แก่สมาชิกขึ้นเรียกว่า "โปสตแมน" และเนื่องในการส่งหนังสือนี้จึงทรงโปรดให้มีตั๋ว "แสตมป์" ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยสำหรับใช้เป็นค่าเดินส่งหนังสือแล้วเลยทรงอนุญาตให้สมาชิกผู้รับหนังสือข่าวราชการ ซื้อตั๋วแสตมป์นั้นไปปิดจดหมายของตนในเมื่อต้องการให้บุรุษผู้เดินส่งหนังสือข่าวราชการนี้ช่วยเดินจดหมายให้ หนังสือข่าวราชการนี้ได้ออกมาชั่วระยะเวลาหนึ่งและได้หยุดเลิกไปเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2419 จึงเป็นเหตุให้การส่งหนังสือและจดหมายถึงกันโดยทางไปรษณีย์พิเศษที่ได้จัดทำขึ้นในครั้งนั้นต้องเลิกไปด้วย มีหลักฐานปรากฎในจดหมายเหตุของหลวงว่าประมาณกลางปี พ.ศ. 2423 เจ้าหมื่นเสมอใจราช (ข้าราชการสำนักในต้นรัชกาลที่ 5) ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอให้ทรงพระราชดำริจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศไทย เรื่องการจัดตั้งการไปรษณีย์ตามที่เจ้าหมื่นเสมอใจราช ได้นำความกราบบังคมทูลคงจะต้องด้วยพระราชดำริของพระองค์ท่านแต่ทรงเห็นว่าเป็นงานใหญ่ ต้องใช้ทุนรอนมาก หากพลาดพลั้งไปจะเสียหายได้ ควรที่จะได้ศึกษาดูประเทศใกล้เคียงเพื่อเป็นประสบการณ์และแนวทางก่อน จึงโปรดฯ ให้เจ้าหมื่นเสมอใจราชเดินทางไปศึกษาดูงานการไปรษณีย์ที่ประเทศจีนและประเทศญี่ปุ่นซึ่งก็ได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดีและทรงมีพระราชดำริว่าสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ทรงสนพระทัยและทรงเข้าใจเรื่องการไปรษณีย์ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงออกหนังสือข่าวราชการ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ เป็น ผู้นำในการจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้น เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีมะเส็ง ตรีศก จุลศักราช 1243 (ตรงกับวันที่ 2 กรกฏาคม 2424) โดยร่วมมือกับ เจ้าหมื่นเสมอใจราช
การดำเนินการเพื่อจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศไทยได้ดำเนินต่อ มาโดยได้มีชาวต่างประเทศช่วยเหลือดำเนินการด้วยที่สำคัญคือ นายเฮนรี่ อาลาบาสเตอร์ จนกระทั่งในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2426 สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ทรงมีหนังสือลงวันพฤหัสบดีแรม 14 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม เบญจศก 1245 กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงทราบว่า การเตรียมการต่าง ๆ เกือบจะเรียบร้อยแล้ว เห็นควรที่จะประกาศเปิดการไปรษณีย์ขึ้นในกรุงเทพฯ ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ปีมะแม เบญจศก 1245 (ตรงกับวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 ) และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้มีกฎหมายแผ่นดินสำหรับการไปรษณีย์ขึ้นไว้เป็นหลักฐานตามความเห็นชอบของนายอาลาบาสเตอร์ ซึ่งเสนอหลักการไว้และหลังจาก ทรงพระราชวินิจฉัยแล้วให้ใช้บังคับได้ จึงนับว่าเป็นกฎหมาย ไปรษณีย์ฉบับแรกของไทย
อย่างไรก็ตามในระยะเวลาใกล้เคียงกันสถานกงสุลอังกฤษซึ่งได้เปิดดำเนินการรับส่งจดหมายระหว่างกรุงเทพฯ กับ สิงคโปร์มาตั้งแต่ตอนปลายรัชกาลที่ 4 ได้มีหนังสือถึงรัฐบาลไทยลงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2426 อ้างว่าข้าหลวงใหญ่ที่สิงคโปร์ ให้สอบถามรัฐบาลไทยเรื่องรัฐบาลสิงคโปร์ มลายู (Straits Settlement) ขอจัดตั้งไปรษณีย์สาขาของอังกฤษขึ้นที่กรุงเทพฯ รวมทั้งขอมีอำนาจสิทธิขาดในการจำหน่ายตราไปรษณียากร และ รับฝากจดหมายติดต่อกับต่างประเทศทั้งหมด โดยนายนิวแมน (Newman) รักษาการแทนกงสุลอังกฤษในขณะนั้นอ้างว่า นายปัลเดรฟ กงสุลอังกฤษได้พูดกับรัฐบาลไทยหลายครั้งแล้ว แต่ทางรัฐบาลไทยได้มีหนังสือ ลงวันจันทร์แรม 11 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม เบญจศก 1245 (ตรงกับวันที่ 30 กรกฎาคม 2426) ตอบกงสุลอังกฤษไปว่าไม่เคยเจรจากับ นายปัลเดรฟ เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใดและไม่อนุญาตให้รัฐบาลสิงคโปร์ มลายู จัดตั้งที่ทำการไปรษณีย์สาขา เพราะรัฐบาลไทยกำลังจะเปิดการไปรษณีย์ขึ้นเร็ว ๆ นี้ เมื่อเปิดดำเนินการแล้ว จะได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพสากลไปรษณีย์ด้วย
เมื่อการตระเตรียมวางระเบียบแบบแผนจนสำเร็จเรียบร้อย พร้อมที่จะเปิดใช้การได้แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมไปรษณีย์ขึ้น ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม พุทธศักราช 2426 เป็นปฐม มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ตึกใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เหนือปากคลองโอ่งอ่าง และในวันเดียวกันนี้เอง (ซึ่งตรงกับวันเสาร์เดือนเก้าขึ้นค่ำหนึ่ง ปีมะแม เบญจศก 1245) ก็ได้มีประกาศเปิดการไปรษณีย์ทดลองในกรุงเทพฯโดยกำหนดให้มีบริการไปรษณีย์ภายในอาณาเขต ดังนี้คือ
1.ด้านเหนือ ถึง สามเสน
2.ด้านตะวันออก ถึง สระประทุม
3.ด้านใต้ ถึง บางคอแหลม
4.ด้านตะวันตก ถึง ตลาดพลู
การเปิดบริการไปรษณีย์ในเขตกรุงเทพฯ ครั้งนี้ ปรากฎว่า เมื่อดำเนินการมาได้เดือนเศษ ปรากฎว่ามีผู้ใช้บริการมาก ได้ยังความชื่นชม สมพระราชหฤทัยมาก ดังจะเห็นได้จากกระแสพระราชดำรัส ซึ่งทรงพระราชทานแด่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ ผู้น้อย ข้าทูลละออง ธุลีพระบาท ราชทูตอเมริกันและท่านเอเย่นต์กอมิสแซและกงสุลต่างประเทศ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา เมื่อวัน ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2426 มีความตอนหนึ่งว่า
" การไปรษณีย์ซึ่งได้เปิดใช้โดยส่งหนังสือในแขวงจังหวัดกรุงเทพฯ เสมอนั้น ก็เป็นที่แปลกใจของเราที่ไม่คิดว่าคนไทยจะใช้หนังสือกันถึงเพียงนี้ ทำให้เรามีความประสงค์ที่จะจัดการให้ได้ส่งหนังสือไปมาให้ได้ตลอดพระราชอาณาจักรสยามได้โดยเร็ว จะเป็นประโยชน์ในการค้าขายแลทางราชการมาก แล้วภายหลังเราหวังใจว่าคงจะทำตามคำเชิญของท่านผู้จัดการไปรษณีย์ใหญ่ในกรุงเยอรมนี ให้กรุงสยามเข้าจัดการส่งหนังสือไปมาได้ทั่วโลก คือเข้าในหมู่พวกการไปรษณีย์อันรวมกัน "

ข้อมูลจาก สนุก พีเดีย

เกร็ดผู้บริหาร




เมื่อเราต้องการทะเลย่อมจะต้องยอมรับเสียงคลื่นลม
เมื่อเราอยากได้น้ำฝนต้องยอมให้มีฟ้าแลบฟ้าผ่า

สามัคคีจัญไร
อันว่าความสามัคคีนั้นดีอยู่
แต่ต้องมีตัวกูเป็นหัวหน้า
แม้มิใช่เป็นเช่นกล่าวมา
สามัคคีที่ว่าก็จัญไร
ฝากผู้บริหาร

ให้ในสิ่งที่คนอยากรับ
ดีกว่าให้ในสิ่งที่ท่านอยากให้
ฝากผู้ทะเยอทะยาน

อย่าห่วงว่าใคร ๆไม่รู้ว่าท่านเก่งหรือมีความสามารถ
จงห่วงแต่ว่า......................................สักวันหนึ่ง เมื่อคนเขายกย่องหรือเลื่อนตำแหน่งท่าน
ท่านมีความเก่งและความสามารถ สมกับที่เขายกย่องหรือเลื่อนตำแหน่งหรือเปล่า



ไม่มีวิสัยทัศน์...........

หดหู่ ใจห่อ คอตก
งานหมก งานหนัก หมักหมม
ปัญหา กลาดเกลื่อน เงื่อนปม
โง่งม จมปลัก ดักดาน



ซื้อรถยนต์มือสองอย่างไร ...ไม่ให้ถูกหลอก

ในปัจจุบันตลาดรถยนต์มือสองกำลังบูมอย่างมาก มีการซื้อขายและการประมูลไม่เว้นแต่ละวัน เต็นท์ขายรถต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมารองรับการซื้อราวกับดอกเห็ด ทำให้ผู้ซื้อมีโอกาสในการเลือกซื้อมากขึ้นด้วยสนนราคาที่ถูกกว่ารถใหม่คุณภาพก็พอใช้ถ้าเลือกกันดี ๆ ซึ่งคนธรรมดาที่มีเงินทองไม่มากนักก็พอที่จะเลือกซื้อมาเป็นของเจ้าของได้ รวมถึงอุปกรณ์ชิ้นต่าง ๆ ของรถมือสองกันบ้าง ซึ่งก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเป็นรถที่เคยผ่านการใช้งานมาแล้ว ดังนั้นสภาพต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ต้องมีส่วนลึกหรอบ้าง จะมากบ้างน้อยบ้างก็ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และเจ้าของรถเดิมว่าใช้งานถนอมแค่ไหน การเลือกซื้อรถยนต์ประเภทนี้ต้องคิดมากทีเดียวบางครั้งซื้อแล้วต้องมานั่งซ่อมอีก ซึ่งเป็นเรื่องไม่คาดคิดมาก่อนเพราะตอนแรกดูสภาพดีแต่เมื่อมาใช้งานจริงแล้วปัญหาต่าง ๆ กลับตามมามากมาย เพราะขาดความเข้าใจและไม่รู้หลักในการเลือกซื้อรถยนต์ใช้แล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะถูกหลอกจากคนรู้จัก ท่านจึงควรมีความรู้เกี่ยวกับการเลือกซื้อรถยนต์ใช้แล้วบ้างเผื่อท่านคิดจะมีรถแบบนี้ไว้ใช้สักคัน

ขั้นแรกต้องถามตัวเองว่ามีความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ รถยนต์ขนาดไหน เคยรู้บ้างไหมว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นมีหน้าที่อะไร ทำอะไรได้บ้างถ้าท่านมั่นใจว่าตัวเองมีประสบการณ์สูงในเรื่องนี้พอที่จะไปดูรถยนต์ด้วยตัวเองและลองขับด้วยตัวเอง ท่านก็สบายใจได้ในขั้นตอนนี้ แต่ถ้าท่านไม่มีความรู้อะไรเลยขับเป็นอย่างเดียว ในกรณีนี้ท่านต้องพึ่งช่างหรือผู้มีความคุ้นเคยกับรถมากกว่าท่าน และมีความสนิทกันไว้ใจได้ ให้เขาพาท่านไปดูรถเพื่อความมั่นใจว่าท่านสามารถซื้อรถในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด

จำไว้เสมอว่าในการเลือกซื้อรถมือสองหรือการตรวจเช็ครถยนต์ต้องเป็นเวลากลางวันเพื่อจะได้สามารถมองเห็นข้อบกพร่องได้ง่าย เมื่อท่านถูกใจและถูกเงินในกระเป๋าแล้ว สิ่งที่ท่านต้องตรวจดูมีด้วยกัน 3 แห่งคือ โครงตัวถัง, ช่วงล่าง, เครื่องยนต์โครงตัวถัง

โครงตัวถังนับเป็นส่วนประกอบส่วนแรกของรถยนต์ที่ท่านต้องตรวจดูก่อนเป็นอันดับแรก การตรวจนั้นจะเริ่มตั้งแต่ ดูแนวรางน้ำขอบหลังคารถยนต์ ถ้าหากกว้างหรือคดแสดงว่าเคยคว่ำมาแล้วอาจเสียศูนย์ ทรงตัวไม่ดีเป็นอันตรายมาก ในส่วนนี้ต้องพยายามสำรวจให้ทั่วหลังคารถด้วยการมองทั้งทางด้านหน้ารถ – ท้ายรถ พยายามมองให้ดีเพราะส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญถ้าหลังคายุบหรือคดจะทำให้รถหมุนได้ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงหรือโดนลมปะทะแรง ๆ แต่ในบางครั้งรถที่เคยคว่ำก็อาจจะทำหลังคามาใหม่ทำให้มองไม่ออกเหมือนกัน ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบอีกที

- ตรวจรอยสนิมกัดกินผุกร่อน บริเวณบังโคลนหน้า รอบดวงโคมไฟ ทั้งสองข้าง สนิมเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับรถยนต์ ซึ่งจะลามไปทั่วรถถ้าปล่อยทิ้งไว้ รอยสนิมจะเกิดได้มากที่สุดบริเวณบังโคลนหน้า แต่ในบางคร้งอาจจะถูกซ่อมมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นต้องตรวจดูด้วยการเอามือลูบบังโคลนด้านใน ซึ่งในส่วนนี้จะไม่สามารถปกปิดได้ เพราะจะมีร่องรอยการซ่อมหลงเหลืออยู่ใช้มือลูบก็พบ ท่านต้องพิจารณาว่าซื้อมาแล้วต้องเสียเงินเพิ่มหรือไม่

- ตรวจรอยสนิมบริเวณบังโคลนหลังขอบด้านใน บริเวณนี้ก็เช่นเดียวกันกับบังโคลนหน้า คือ เกิดสนิมได้ง่ายเชนเดียวกัน การตรวจก็เช่นเดียวกัน ใช้มือลูบด้านใน รอยการซ่อมหรือปะผุจะมีเหลืออยู่ให้เห็น

- ตรวจรอบโคมไฟท้ายทั้ง 2 ข้าง มีรอยสนิมมากน้อยเพียงใดส่วนของไฟท้ายก็เป็นสนิมง่าย ต้องตรวจให้ละเอียดว่ามีรอยสนิมมากน้อย และต้องเสียค่าซ่อมต่าง ๆ มากหรือไม่ ถ้าซื้อไปแล้วจะคุ้มมั๊ย

- ตรวจดูรอยผุส่วนท้ายรถที่ขอบฝากระโปรง และที่ติดใกล้กับกันชน ต้องเปิดฝากระโปรงออกมาแล้วตรวจดู และอย่าลืมดูที่บริเวณกันชนติดกับกระโปรงรถส่วนท้ายด้วย พยายามตรวจดูให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้

- ตรวจรอยผุบริเวณประตูรถตอนขอบด้านล่าง และที่ตัวถังของพื้นล่างสุด บริเวณประตูก็จะเกิดสนิมได้ง่ายเช่นเดียวกัน ต้องตรวจดูที่ประตูทุกบานหารอยผุว่ามีมากหรือน้อย การเปิด – ปิดในส่วนต่าง ๆ ของขอบประตูและกระโปรงหลังทำให้ได้สะดวกหรือไม่

- ตรวจดูใต้ท้องรถ อาจให้ยกรถขึ้นโดยใช้ขาตั้งแล้วท่านเข้าไปตรวจดูใต้ท้องรถ แต่อาจใช้วิธีเปิดพรมยางในรถทั้งหมด แล้วตรวจหาดูรอยผุหรือส่วนที่เสียหายต่าง ๆ

- ตรวจดูระบบท่อไอเสีย ให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่มีรอยแตกหรือสนิมกัดกร่อนจนเกือบจะผุพัง

ช่วงล่าง
ช่วงล่างตรงนี้สำคัญมากในการเลือกซื้อรถใช้แล้ว เพราะช่วงล่างจะส่งผลต่อการขับขี่ ในด้านการทรงตัวขณะเลี้ยวหรือวิ่งด้วยความเร็วสูง ถ้าเครื่องช่วงล่างไม่ดีอาจจะเกิดอุบัติเหตุง่ายเมื่อใช้รถ การตรวจช่วงล่างจะเริ่มตั้งแต่

- ในการตรวจช่วงล่างต้องยกรถให้สูงขึ้น เพื่อความสะดวกในการตรวจใต้ท้องรถและสามารถมองเห็นทุกจุดได้ชัดเจน ท่านควรตรวจใต้ท้องรถด้วยตัวท่านเองถ้าท่านพอมีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์บ้างโดยให้เริ่มตรวจตั้งแต่ห้องเกียร์ ช๊อคอัพ แหนบ พวงมาลัย เฟืองท้าย และช่วงลล่างในส่วนอื่น ๆ ถ้ามีสิ่งใดที่สังเกตผิดจากธรรมดา เช่น มีน้ำไหลออกมาจากบางแห่ง มีส่วนหัก บิด งอ แหนบซ้อนกันไม่เป็นระเบียบ ลองตรวจดูว่าการใช้งานเป็นเช่นไร แต่ข้อแนะนำว่าการตรวจช่วงล่างขอให้เป็นหน้าที่ของช่างที่ชำนาญและท่านแนะคนพามาจะดีกว่า เพราะในบางครั้งท่านดูเองอาจจะไม่ทราบเท่ากับช่าง

- เพลากลาง ท่านต้องลองเอามือจับเพลากลางแล้วลองหมุนขยับกลับไปกลับมาว่ามีระยะหมุนฟรีมากเพียงใด ถ้ามีระยะฟรีมากนั่นแสดงว่าชิ้นส่วนต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนหลวม หรือหมดอายุการใช้งาน

- ตรวจดูยางทั้ง 5 เส้น ซึ่งหมายถึงยางอะไหล่ด้วยวามีการใช้งานมากน้อยเพียงใด ดอกยางสึกมากหรือน้อย จะต้องซื้อใหม่หรือไม่

- ตรวจระบบเบรก ด้วยการลองเหยียบเบรกหรือย้ำเบรกดู1เหยียบเบรกแล้วเบรกจมมิดหายไปแสดงว่าเบรกไม่อยู่ หรือต้องย้ำเบรก หลายครั้งจึงจะเบรกอยู่ในส่วนนี้ต้องทดลองขับดู

- ตรวจดูเข็มไมล์ว่ารถใช้งานมามากน้อยเพียงใด ตรวจดูการสึกหรอของยางเบรกและคลัตช์เปรียบเทียบกับตัวเลข ซึ่งอาจถูกแก้ไขจำนวนกิโลเมตรที่วิ่งก็ได้

- ตรวจพวงมาลัย ด้วยการหมุนกลับไปกลับมา เพื่อจะดูช่วงฟรีของพวงมาลัยว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้าช่วงฟรีมากอาจจะเกิดจากช้นส่วนต่าง ๆ ของระบบบังคับเลี้ยวหลวม ก็ต้องเสียเงินเพิ่มมากขึ้น ในการซ่อม

เครื่องยนต์
เครื่องยนต์นับเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ทั่วไป ยิ่งในรถยนต์ใช้แล้วเครื่องยนต์เป็นสิ่งสำคัญมาก เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสมบูรณ์จะสามารถลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้มาก และยังเป็นการช่วยให้ผู้ใช้รถเกิดความสะดวกสบายมากขึ้นอีก การตรวจเครื่องยนต์นั้นจะเริ่มจากฝาครอบลิ้นด้านบน,ปะเก็นฝาสูบ,อ่างน้ำมันเครื่อง, เพลาข้อเหวี่ยงหน้าเครื่อง, ก๊อกถ่าย น้ำมันเครื่องซึ่งอยู่ในอ่างและตามท่อต่าง ๆ หม้อกรองน้ำมันเครื่องและอื่น ๆ อีก ฯลฯ

ในส่วนนี้ให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดตามจุดต่าง ๆข้างบนการเช็ดก็เพื่อจะตรวจดูรอยรั่วของส่วนประกอบด้านบนว่าน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่นไหลซึมออกมาหรือไม่ ควรตรวจให้ละเอียดอย่าง ช้า ๆ เพราะเครื่องยนต์เป็นตัวจักรขับเคลื่อนต้องทำงานหนักที่สุดจึงควรสังเกตุได้ดี เครื่องยนต์ที่ดีไม่ควรจะมีน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา ถ้ามีควรตรวจดูว่าเป็นส่วนไหนของเครื่องยนต์เป็นส่วนสำคัญหรือไม่ และรั่วมาจากสาเหตุใด เพราะแตกร้าวหรือปะเก็นไม่ดีเพื่อจะได้คิดราคาค่าซ่อมได้ถูกต้อง

ส่วนที่ต้องซ่อมต่อมาคือ ตรวจระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์อย่างเช่น หม้อน้ำ ตรวจดูรอยรั่วต่าง ๆ ข้อต่อที่มีปลอกเหล็กรัดดูว่ามีน้ำรั่วซึมหรือไม่ จุดที่ต้องตรวจดูก็คือ หม้อน้ำหรือรังผึ้ง ท่อยางต่อเข้าเครื่องยนต์เพื่อถ่ายเทน้ำ ท่อยางด้านล่างที่ต่อเข้ากับตัวปั๊ม มีพัดลมหมุนได้ด้วยสายพาน จะต้องมีความตึงพอดี ไม่อย่างนั้นแล้วจะระบายความร้อยไม่ดี

ส่วนต่าง ๆ ที่บอกมาทั้งหมดนี้เป็นการตรวจเช็คสภาพรถยนต์โดยรวมและต้องตรวจตราอย่างถ้วนถี่โดยละเอียด ถ้าให้ดีควรให้ช่างมาตรวจสอบให้ดีจะดีกวาเพื่อความแน่นอน

การทดลองขับ
เมื่อตรวจสอบของเรื่องภายในและภายนอกของรถยนต์ทุกส่วนแล้วคราวนี้ก็คงต้องมาถึงการทดลองขับดูเพื่อเป็นการทดลองกำลังของเครื่องยนต์และการทำงานของระบบช่วงล่างว่าสามารถทำงานได้ดีมากน้อยแค่ไหน การทดลองขับนั้นจะทำให้ทราบถึงระบบชิ้นส่วนของรถยนต์ ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงและระบบจุดระเบิดว่าสามารถใช้งานได้ดีหริไม่ ซึ่งในส่วนนี้ท่านต้องมีความชำนาญในการขับรถยนต์มาก่อน สิ่งที่สังเกตในหการทดลองขับรถคือ
- ระบบกันสะเทือนใช้ได้ดีหรือไม่ การทำงานอยู่ในสภาพใด เมื่อตกหลุมหรือเลี้ยวมีอาการผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีการสะเทือนมากแสดงว่าช๊อคอัพหรือแหนบไม่ดี
- ลองเบรกห้ามล้อดูว่าใช้งานได้ดีหรือไม่ ระยะทำการเบรกการเหยียบเบรกมีความสัมพันธ์กันมากมายน้อยเพียงใด ถ้าเหยียบแล้วเบรกจมหายต้องย้ำหลายครั้งแสดงว่าเบรกมีปัญหาต้องตรวจเช็คเบรก
- ระบบส่งกำลังยังให้แรงดีหรือขัดข้องประการใด เมื่อขณะเร่งให้สังเกตุดูว่าเครื่องยนนต์ส่งกำลังมีความแรงขนาอไหน ทันอกทันใจหรือไม่ การเข้าเกียร์ยากหรือปล่าว
- พวงมาลัยหนักเบาแค่ไหน สาเหตุอาจจะมาจากยางแบน แต่ถ้ายางไม่แบนก็อาจจะมาจากการเสียหายของชิ้นส่วนภายใน อันนี้ต้องตรวจเช็คให้ละเอียด

ถ้าท่านเป็นผู้ชำนาญในการขับขี่จะสามารถการสังเกตการผิดปกติของรถยนต์ได้ง่ายด้วยความรู้สึกของท่าน แต่ถ้าท่านไม่เป็นผู้ชำนาญควรให้ผู้มีความรู้เป็นผู้ช่วยขับแทน ในการซื้อรถยนต์ใช้แล้ว ( มือสอง ) สักคันหนึ่ง จะกลายเป็นการเพิ่มภาระหรือลดภาระของท่านนั้นขึ้นอยู่กับขั้นตอนต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นโดยที่ท่านเป็นผู้ตัดสินใจเลือกอีกครั้ง ท่านควรจะเลือกอย่างใจเย็นไม่ควรใจร้อน ให้ถือคติช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม เพราะถ้าขาดความรอบคอบแล้วท่านอาจจะได้รถที่ไม่ดี เมื่อเลือกซื้อรถยนต์ได้แล้วก็อย่าลืมดูแลรักษาให้ดีมีสภาพพร้อมใช้งานเนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำให้รถของท่านใช้งานได้อย่างคุ้มค่าและยาวนานตามอายุการใช้งาน

งานวิจัยคืออะไร...?

การวิจัยเป็นกระบวนการค้นคว้าหาความรู้ความจริงตามระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ในการค้นคว้าหาความรู้ความจริงของนักวิจัยนั้นก็เพื่อจุดมุ่งหมายดังต่อไปนี้
1. เพื่อใช้ในการทำนาย ผลที่ได้จากการวิจัยสามารถนำไปใช้พยากรณ์หรือทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือมีแนวโน้มอย่างไร ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า เช่น การวิจัยเรื่องการสำรวจราคาสินค้าสามารถนำผลมาทำนายได้ว่า แนวโน้มของราคาสินค้าในอนาคตจะเป็นอย่างไร และยังสามารถทำนายสภาพเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตได้อีกด้วย
2. เพื่อใช้ในการอธิบาย จุดมุ่งหมายของการวิจัยข้อนี้ก็เพื่อนำผลที่ได้ไปใช้อธิบายปัญหาหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ยังไม่ทราบสาเหตุว่า สิ่งใดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลหรือสิ่งใดเป็นผลที่ทำให้เกิดสาเหตุนั้น ๆ เช่น การวิจัยหาสาเหตุที่ทำให้ผลการเรียนของนักเรียนตกต่ำ ผลที่ได้จากการวิจัยจะสามารถนำมาอธิบายได้ว่า มีอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผลการเรียนของนักเรียนตกต่ำ
3. เพื่อใช้ในการบรรยาย เป็นการมุ่งนำผลที่ได้จากการวิจัยไปใช้บรรยายสภาพและลักษณะของปัญหาว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีสภาพและลักษณะอย่างไร เช่น การวิจัยเพื่อการสำรวจความต้องการของนิสิตที่มีต่อการจัดบริการของมหาวิทยาลัย การวิจัยในลักษณะนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำผลที่ได้จากการวิจัยมาบรรยายสภาพและลักษณะความต้องการของนิสิต ซึ่งการนำผลที่ได้จากการวิจัยมาบรรยายจะทำได้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงมากกว่าการบรรยายสภาพและลักษณะของปัญหาที่เกิดจากความคิดเห็นหรือการวิเคราะห์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
4. เพื่อใช้ในการควบคุม จุดมุ่งหมายการวิจัยประการนี้ก็เพื่อนำผลที่ได้จากการวิจัยไปวางแผนหรือกำหนดวิธีการในการควบคุมสิ่งต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น การวิจัยหาสาเหตุที่ทำให้ผลการเรียนของนักเรียนตกต่ำ เมื่อพบสาเหตุก็สามารถหาทางควบคุมหรือป้องกันได้
5. เพื่อใช้ในการพัฒนา ผลการวิจัยอาจนำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาได้ เช่น การพัฒนาบุคคล พัฒนาระบบการทำงาน พัฒนาอาคารสถานที่ ฯลฯ ดังผลการวิจัยที่พบว่า อาจารย์ส่วนใหญ่สอนวิชาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมโดยวิธีบรรยายมากกว่าการทดลอง ดังนั้นอาจารย์และผู้บริหารของโรงเรียนก็ควรที่จะได้หาทางปรับปรุงวิธีการสอนให้ถูกต้องและสอดคล้องกับธรรมชาติของวิชามากขึ้น

ถ้าจะกล่าวถึงจุดมุ่งหมายทั่วไปของการวิจัยอย่างกว้าง ๆ แล้วอาจกล่าวได้ว่า ในการทำการวิจัยใด ๆ ก็ตาม ผู้ทำการวิจัยจะมีจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 ประการนี้คือ

1. เพื่อเพิ่มพูนความรู้ใหม่ เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็น อยากทราบเหตุผลและปรากฏการณ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จึงทำการวิจัยเพื่อค้นหาคำตอบ สิ่งใดที่พอรู้อยู่บ้างก็ทำให้รู้และเข้าใจดียิ่งขึ้น เป็นการเพิ่มพูนวิทยาการให้กว้างขวางลึกซึ้ง
2. เพื่อนำผลไปประยุกต์หรือใช้ให้เป็นประโยชน์ จุดมุ่งหมายของการวิจัยนี้เกิดขึ้นเมื่อมีปัญหาที่จะต้องค้นคว้าหาความจริงเพื่อนำผลที่ได้จากการวิจัยไปแก้ปัญหา หรือประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไป จุดมุ่งหมายของการวิจัยทั้ง 2 ประการนี้มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันทั้งนี้เพราะจุดมุ่งหมายประการแรกมุ่งวิจัยเพื่อเพิ่มพูนความรู้ใหม่ทำให้ค้นพบกฎหรือทฤษฎี ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ตามจุดมุ่งหมายของการวิจัยในข้อ 2

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ

ศาสตร์ตามแพทย์แผนจีน เป็นภูมิปัญญา ที่มีการปฎิบัติและสืบทอดมาอย่างยาวนานมีข้อสรุปของแพทย์จีนที่มีชื่อเสียง รวมถึงคำสอนที่ต่อเนื่องกันมาเป็นหลักปฎิบัติตัวง่ายๆสามารถปรับใช้ในการดูแลสุขภาพด้วยตนเองได้ตามเคล็ดลับการดูแลสุขภาพพื้นฐาน ดังนี้
๑. ต้องหวีผมบ่อยๆ อาจใช้นิ้วทั้ง ๑๐ หรือหวี ทำการหวีผมบ่อยๆ จะช่วยทำให้ ตาสว่าง ทำให้รากผมแข็งแรง
๒.ต้องถูใบหน้าบ่อยๆ ใช้ฝ่ามือ ๒ ข้างถูหน้าบ่อยๆ ให้เลือดมาเลี้ยงใบหน้า ทำให้ใบหน้าเปล่งปลั่ง ลบรอยเหี่ยวย่น
๓. ต้องเคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ ด้วยการมองไกล มองใกล้ มองข้างซ้าย-ขวา และมองขึ้นบนและล่าง หรือการกรอกลูกตาไปมา เพื่อคลายกล้ามเนื้อตา ลดอาการล้าของดวงตา ทำให้ดวงตาสดใสขึ้น
๔. ดึงหู บีบหู หรือถูใบหู เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณใบหู ช่วยป้องกันการเกิดเสียงดังในหู หูตึง เวียนศรีษะ รวมทั้งเป็นการบำรุงตำแหน่งที่เก็บพลังของร่างกายใต้สะดือ สัมพันธ์กับไตซึ่งเปิดทวารที่หูและที่สำคัญ..... ทำด้วยตนเองน่าจะดีกว่ามีคนช่วยดึงหูน่ะค่ะโดยเฉพาะคุณผู้ชาย
๕. หมั่นขบฟันบ่อยๆ การขบฟันเบาๆ วันละหลายสิบครั้ง ช่วยทำให้ฟันแข็งแรง กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย..คนละอาการกับการขบเขี้ยว..เคี้ยวฟันหรือการขบกรามน่ะค่ะ
๖. ดันเพดานปากด้านบนด้วยลิ้นบ่อยๆ การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้า เป็นการกระตุ้น เพื่อเชื่อมพลังของเส้นลมปราณซึ่งควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลังและส่วนหน้าของร่างกาย และเป็นการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำลาย
๗. กลืนน้ำลายบ่อยๆ การกลืนน้ำลายบ่อยๆ เป็นการเคลื่อนไหวพลังบริเวณคอหอย แล้วยังช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารด้วย
ดูแลสุขภาพในช่วงนี้กันให้ดีน่ะค่ะ..นอกจาก จะกินของร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันหวัด ๒๐๐๙ แล้วก็ต้องออกกำลังกายและดูแลสุขภาพจิตตนเองให้ดีเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจและโรคาภัยที่มาในรูปแบบต่าง.....ด้วยความปรารถนาดีค่ะ

ข้อมูลจาก จดหมายข่าว"สายใยสุขภาพ" สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเนินมะปราง เดือน สิงหาคม ๒๕๕๒

ปุ๋ยน้ำชีวภาพช่วยชาติลดโลกร้อน

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในปัจจุบันเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนทำให้หลายฝ่ายร่วมกันรณรงค์การลดภาวะโลกร้อนด้วยวิธีการต่างๆที่หลากหลายและมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ส่งผลในระยะยาวและคุ้มค่าต่อการลดภาวะโลกร้อน ดังนั้นในบทความนี้ก็ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมปลูกต้นไม้และปลูกผักเพื่อช่วยสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในครัวเรือนได้อีกทางหนึ่ง และ เพื่อให้ครบองค์ประกอบการทำกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมการทำปุ๋ยน้ำชีวภาพก็สามารถช่วยได้เช่นกันค่ะ

หากถามว่าการทำปุ๋ยน้ำชีวภาพมีประโยชน์อย่างไร ประการสำคัญ คือ ช่วยลดปริมาณขยะจากครัวเรือน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการใช้พลังงานในการขนส่งและกำจัดขยะเหล่านั้น และปุ๋ยน้ำยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมายอาทิเช่น ใช้เป็นปุ๋ยรดต้นไม้ ใช้ฉีดพ่นเพื่อกำจัดกลิ่นตามที่ชื้นแฉะ ใช้ทำความสะอาดห้องน้ำ ใช้เทลงท่อน้ำและโถส้วมเพื่อลดส้วมเต็มและท่อตัน และใช้บำบัดน้ำเสียได้ด้วยค่ะ....

สำหรับการทำปุ๋ยน้ำนั้นมีมากมายหลายสูตร แต่จะแนะนำต่อไปนี้นำมาจากวารสาร คลีนิก เซนเตอร์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก เป็นสูตรที่ง่ายที่สุด เรียกว่า"สูตรที่ไม่มีสูตร" คือสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม การทำนั้นง่ายมากๆ โดยเริ่มจากการเตรียมถังน้ำพลาสติกขนาดใหญ่ที่มีฝาปิดมิดชิด ใส่น้ำลงไปในปริมาณที่คิดว่าเมื่อผสมกับขยะอินทรีย์ในบ้านจะมีมากพอท่วมขยะเหล่านั้น ซึ่งหากเป็นน้ำประปาต้องพักน้ำไว้ ๒ วัน เพื่อให้คลอรีนในน้ำระเหยไปหมดก่อน จากนั้นผสมกากน้ำตาลลงไป (สามารถหาได้ตามร้านขายอุปกรณ์การเกษตร) ในปริมาณต่อน้ำ ๒/๑๐ ส่วน และผสมหัวเชื้อจุลินทรีย์ ลงไป ๑/๓๐ ส่วน หรือแล้วแต่จำนวนที่มีอยู่ซึ่งสามารถขอรับหัวเชื้อได้ฟรีที่กรมพัฒนาที่ดิน หรือหาซื้อตามร้านขายสินค้าการเกษตรทั่วไป จากนั้นทิ้งไว้ให้เชื้อขยายประมาณ ๒ วัน จึงเริ่มใส่เศษขยะอินทรีย์ พวกเศษอาหาร(ที่ไม่มีน้ำมันและเกลือ) เช่น เศษผัก ผลไม้ ใบไม้ใบหญ้า จากการทำสวน ใส่ลงไปหมักทิ้งไว้ประมาณ ๒ เดือน หรือจนกว่าขยะเหล่านั้นทรุดตัวเปลี่ยนเป็นของเหลวเป็นส่วนใหญ่ ระหว่างหมัก ถังที่หมักต้องวางไว้ในร่มและควรคนกลับขยะในถังบ่อยๆ เพื่อเร่งกระบวนการย่อยสลาย และหากถังหมักมีกลิ่นเหม็นให้เติมกากน้ำตาลลงไปเพิ่มจนหมดกลิ่นเหม็น

ส่วนการนำมาใช้เป็นปุ๋ยน้ำนั้น ให้ผสมน้ำหมักกับน้ำ ในอัตราส่วน ๑/๑๐๐๐ ส่วน รดต้นไม้ และกากจากถังหมักให้พักไว้ในที่ร่มประมาณ ๑ เดือน สามารถนำมาผสมดินปลูกต้นไม้ได้อีกด้วยค่ะ...

ข้อมูลจาก วารสารคลีนิก เซนเตอร์ อบจ.พิษณุโลก ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๔ มิ.ย. ๒๕๕๒

โรคทางสายตา

เด็กๆ สมัยนี้ใส่แว่นตากันมาก เมื่อ 20 ปีก่อนเราจะเห็นเด็กจำนวนไม่มากใส่แว่น จักษุแพทย์ปัจจุบันยังไม่ส่ามารถสรุป ได้อย่างชัดเจนว่า่ ความบกพร่องด้านการเห็นนั้น เกิดจากสาเหตใุดกันแน่

แพทย์หลายคนคิดว่า่พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญที่ทำ ให้คนเราสายตาสั้น เพราะได้มีการพบว่าพ่อแม่ที่มีสายตาสั้น มักจะให้กำเนิดลูกที่มีสายตาสั้นด้วย แต่แพทย์อีกเป็นจำนวนมากก็มีความคิดว่าสภาพแวดล้อมต่างหาก ที่เป็นตัวบีบบังคับให้เรามีสายตาสั้น เช่นได้มีการพบว่า คนที่ชอบใช้สายตาดูหนังสือในระยะใกล้ ในที่แสงสว่างไม่เพียงพอ เป็นเวลานานๆ ในไม่ช้าก็เร็ว จะมีสายตาสั้นหรือบางคนก็คิดว่าสายตาที่ผิดปกติเกิดจากการที่ร่างกายขาดสารอาหาร บางคนปกติเวลาดูวัตถุที่อยู่ใกล้ กล้ามเนื้อตาจะทำ หน้าที่บีบเลนส์ตา ทำ ให้เลนส์ตาหนาขึ้น มีผลทำ ให้รัศมีความโค้ง ของเลนส์ลดลง ในทางตรงกันข้า้ม เวลาดูวัตถุที่อยู่ไกล กล้ามเนื้อตาจะคลายทาํให้เ้ลนส์ตาบางลงรัศมีความโค้ง ของเลนส์ตาจึงเพิ่มมากขึ้นมีผลทำ ให้แสงที่ผ่านเลนส์ตาถูกโฟกัสตกลงจอรับภาพ (retina) พอดีเพราะลูกตาของคนที่มี สายตาสั้น จะยาวผิดปกติ ภาพที่เกิด จากการโฟกัสของเลนส์ตาจึงตกหน้าจอภาพแทนที่จะตกบนจอพอดี เขาจึงมองเห็นภาพไม่ชัด ส่วนคนที่มีสายตายาวจะมีลูกตาที่สั้นผิดปกติ แสงจึงถูกโฟกัสไปตกหลัง retina เขาจึงมองเห็นภาพได้ไม่ชัดเช่นกัน
ทารกมักมีสายตายาว แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น ลูกตาก็จะเติบโตขึ้นจนกระทั่งเด็กคนนั้นมีสายตาปกติเมื่อมี อายุได้ราว 6 ขวบ ถึงกระนั้นปริศนาการเจริญเติบโตของลูกตาในเด็กยังคงเป็นเรื่องลึกลับที่นักวิจัยกำลังค้นคว้าหาคำตอบอยู่ เพราะนักวิจัยมีความเชื่อว่า หากเรารู้กลไกการเจริญเติบโตของร่างกายส่วนนี้ เราจะสามารถป้องกันและแก้ไขความบกพร่องของประสาทสัมผัสลักษณะนี้ได้

วิธีการแก้ไขสายตายาวเท่าที่ผ่านมา คือการใช้แว่นสายตา และการผ่าตัด ในการแก้สายตาสั้นโดยการใช้แว่น ถ้าเป็นกรณีสายตายาวจะใช้เลนส์นูน สำหรับวิธีผ่าตัดนั้น แพทย์อาศัยหลักการว่า ในตาดำ ของคนสายตาสั้นหากเราสามารถดึงรั้งมันได้ด้วยการผ่าตัด ตาของคนๆ นั้นก็จะสามารถโฟกัสให้ภาพของวัตถุตกลงบนจอรับภาพได้พอดีโดยไม่ต้องใช้เลนส์ช่วย ในการนี้จักษุแพทย์จะใช้มีดผ่าเยื่อตาดำ เป็นวงกลมแล้วใช้มีดกรีดวงกลมออกตามแนวรัศมี เมื่อแผลหายเขาจะตบแต่งบริเวณส่วนกลางของตาให้แบนราบลง เมื่อแผลเนื้อตาส่วนกลางหาย การหักเหของแสงและการเกิดภาพก็จะเป็นไป อย่างสมบูรณ์

ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์กำลังหาวิธีต่างๆ รักษาสายตามิให้สั้น มิให้ยาว หรือมิให้เอียง เด็กๆ ก็ควรจะ เชื่อฟังผู้ใู้หญ่เวลากล่าวเตือนว่าการอ่านหนังสือใกล้มาก จะทำํร้ายสายตาเพราะมันเป็นเรื่องจริงค่ะ

ฮาลาลคืออะไร ?


คำว่า "ฮาลาล" เป็นคำภาษาอาหรับ มีความหมายทั่วไปว่า อนุมัติ เมื่อนำมาใช้ในทางศาสนาจะมีความหมายว่า สิ่งที่ศาสนาอนุมัติ เช่นอนุมัติให้กิน อนุมัติให้ดื่ม อนุมัติให้ทำ อนุมัติให้ใช้สอย เป็นต้น
"ฮาลาล" เป็นคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกับคำว่า "ฮารอม" ที่มีความหมายทั่วไปว่า ห้าม และเมื่อนำมาใช้ในทางศาสนาจะมีความหมายว่า สิ่งที่ศาสนาห้าม
การอนุมัติสิ่งใด หรือการห้ามสิ่งใดในศาสนาอิสลามเป็นประกาศิตที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า และมาจากศาสนทูตของพระองค์เท่านั้น ถือเป็นหลักสำคัญที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดโดยไม่ต้องค้นหาเหตุผลการอนุมัติหรือเหตุผลการห้ามแต่อย่างใด เมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้แจ้งไว้ เพราะมุสลิมมีความเชื่อมั่นศรัทธาว่าสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าอนุมัติเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ส่วนสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าห้ามเป็นสิ่งที่มีพิษภัยและมีโทษ พระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมาทราบดีถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษต่อมนุษย์ พระองค์จึงอนุมัติสิ่งที่เป็นคุณและห้ามสิ่งที่เป็นโทษ
ส่วนเหตุผลที่มนุษย์ค้นพบว่ามีข้อดีในสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ และมีข้อเสียในสิ่งที่ศาสนาห้าม โดยพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้แจ้งไว้และได้นำมาอ้างอิงนั้นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้นไม่ใช่เป็นหลักสำคัญ เพราะเหตุผลที่มนุษย์ค้นพบอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนประกาศิตของพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นอมตะไม่เปลี่ยแปลง
ในเมื่ออิสลามเป็นระบอบในการดำเนินชีวิตของมุสลิม ชีวิตของมุสลิมจึงผูกพันอยู่กับศาสนาตั้งแต่เกิดจนตาย การกระทำทุกอย่างของมุสลิมต้องดำเนินอยู่ในกรอบที่ศาสนากำหนดในทุกกรณีทั้งเรื่องความผูกพัน ระหว่างมนูษย์กับสัตว์ มุสลิมต้องมีความเมตตาสงสารสัตว์ การกักขังสัตว์โดยไม่ให้อาหารเป็นเหตุให้ตกนรก การกลั่นแกล้งรังแกสัตว์ จะต้องถูกนำไปไต่สวนต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า การเชือดสัตว์เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติให้กระทำได้ภายใต้กรอบที่เชือดเพื่อเป็นอาหาร ไม่กระทำทรมานสัตว์ ต้องเชือดด้วยมีดที่คม ต้องให้สัตว์ล้มลงนอนอย่างดี และขณะเชือดต้องกล่าวนามของพระผู้เป็นเจ้า

โรคที่พบบ่อยในผู้บริหาร(หญิง)

ความหมายของวัยทอง
วัยทองในผู้หญิง ก็คือวัยหมดประจำเดือนในอายุประมาณ 45-55 ปี โดยเฉลี่ยอายุ 49 ปี ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ตัดรังไข่ก็ สามารถเกิดวัยทองได้ทันทีหลังตัดรังไข่ เมื่อถึงวัยนี้รังไข่จะหยุดทำงาน และไม่มีการตกไข่อีกต่อไปทำให้ไม่มีประจำเดือนและไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงจากรังไข่อีก จึงทำให้เกิดอาการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
อาการในวัยทอง
เมื่อไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง จะพบว่ามีอาการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ดังนี้
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- มีอาการทางระบบเส้นเลือด เช่น อาการร้อนวูบวาบ โดยเฉพาะส่วนบนของร่างกาย แก้ม คอจะแดง เหนื่อยง่าย ใจสั่น มีเหงื่อออกมากตอนกลางคืน หรือบางคนมีอาการหนาวสั่น อาการนี้จะเป็นนานประมาณ 1-5 นาที
- เต้านมมีขนาดเล็กลง
- ผิวหนังจะบางลง แห้งและเกิดเป็นแผลได้ง่าย มีอาการคันตามผิวหนัง หรือเหมือนมีมดไต่ หรือมดกัดตามผิวหนัง
- เส้นผมจะหยาบแห้งและบางลง หลุดร่วงได้ง่าย ไม่ดกดำเป็นเงางามเหมือนก่อน
- มีอาการทางกล้ามเนื้อและผิวหนัง ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทองจะมีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ หรือปวดตามข้อและกระดูก กระดูกจะเริ่มบางลง เนื่องจากมีการทำลายเซลล์กระดูกเพิ่มขึ้น
- อาการทางระบบสืบพันธุ์ ผนังเยื่อบุช่องคลอดจะบางลง ช่องคลอดขยายตัวไม่ดี ช่องคลอดแห้ง ทำให้มีอาการเจ็บหรือแสบในช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์ และมีการติดเชื้อในช่องคลอดบ่อยขึ้น และเกิดภาวะช่องคลอดหย่อน เรียกว่า กระบังลมหย่อน
- อาการทางระบบปัสสาวะ มีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ดเวลาไอ จามหรือหัวเราะ แก้ไขได้โดยขมิบช่องคลอดวันละประมาณ 200 ครั้ง นอกจากนี้เยื่อบุปัสสาวะยังบางลง ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย และอักเสบได้บ่อย
- มีอาการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เร็ว เครียดง่าย หงุดหงิด โกรธง่าย ใจน้อย ควบคุมอารมณ์ได้ยาก บางคนหลงลืมง่าย เวียนศีรษะ ซึมเศร้า
- มีปัญหาเรื่องการนอน นอนหลับยาก ตื่นเร็ว
- ความรู้สึกทางเพศลดลง บางคนอาจมีความรู้สึกทางเพศสูงขึ้น
- มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่าง เอวจะเริ่มหายไป ไขมันเพิ่ม ผิวหนังเหี่ยว
- ร่างกายมีภูมิต้านทานลดลง ทำให้ติดเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย
เมื่อเข้าสู่วัยทองมักจะมีโรคต่าง ๆ ตามมาดังต่อไปนี้
- เกิดโรคกระดูกพรุนได้เร็ว
- เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และสมอง
- มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก

เมื่อเข้าสู่วัยทองควรปฏิบัติตัวดังนี้
1. การรับประทานอาหาร
- รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ไขมันน้อย เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงหรือสัตว์ใหญ่ เนย น้ำตาล และอาหารเค็ม
- รับประทานพวกผักใบเขียวและผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี อี สูง ข้าวซ้อมมือ
- ดื่มนมพร่องหรือขาดมันเนยเป็นประจำ เพราะนมมีแคลเซียมธรรมชาติ ดูดซึมและนำไปใช้ในร่างกายได้ดีถ้าดื่มนมไม่ได้ ให้ดื่มนมถั่วเหลือง หรือ น้ำเต้าหู้แทน ปลาตัวเล็ก หรือปลากระป๋องที่รับประทานได้ทั้งกระดูก ทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมมากขึ้น
- ควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ เพราะมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียม และไม่ควรสูบบุหรี่ สำหรับอาหารเสริม ไม่จำเป็นมากนัก ถ้ารับประทานอาหารได้ครบทุกหมวดหมู่
2. การออกกำลังกาย
เราจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ การออกกำลังกายได้แก่ การวิ่ง การเดินเร็ว อย่างน้อย 20 นาที ต่อวัน ในช่วงที่มีแสงแดดอ่อนๆ ประโยชน์ของการออกกำลังกาย
- ช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- ช่วยให้กระดูกมีความหนาแน่นมากขึ้น ป้องกันโรคกระดูกบาง กระดูกพรุน ในกรณีนี้ ต้องได้รับสารอาหารที่มีแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอด้วย
- ช่วยลดความเครียดจากการทำงาน และทำให้กระชุ่มกระชวย
- ช่วยให้นอนหลับได้สนิทและง่ายขึ้น
- ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
- ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
3. การพักผ่อน
ควรนอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8ชม. ผิวพรรณจะได้ดูสดใส และรู้สึกสดชื่น
4. ในเรื่องการร่วมเพศ
- ควรใช้สารหล่อลื่นขณะร่วมเพศ
- นอกจากนี้ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน และให้แพทย์ตรวจ หรือทำ Mammogram (X-Ray เต้านม อย่างน้อยทุก 1-2 ปี / ครั้ง) และตรวจมะเร็งปากมดลูกทุกปี
คณะ
5. ด้านจิตใจ
ทำจิตใจให้สบาย ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผิวหนังได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงมากขึ้น ควรมีการสันทนาการอย่างเช่นการร้องเพลง หรือจะเต้นลีลาศก็ได้ค่ะ การฝึกสมาธิก็จะช่วยให้จิตใจสบาย ไม่เครียด ทำให้นอนหลับพักผ่อนได้ในเวลากลางคืน
6. การให้ฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง
ในวัยหมดประจำเดือน จะขาดฮอร์โมนเพศหญิง คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน การได้รับฮอร์โมนทดแทนควรปรึกษาแพทย์ เพราะผู้ที่มีประวัติเป็นโรคต่างๆ เช่น มะเร็งของเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งเต้านม เส้นเลือดสมองตีบตัน หรือเคยแตกมาก่อน การแข็งตัวของลิ่มเลือดผิดปกติ ประจำเดือนผิดปกติ ปวดศีรษะไมเกรน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เนื้องอกมดลูก โรคลมชัก นิ่วในถุงน้ำดี สูบบุหรี่จัด ไม่ควรได้รับฮอร์โมนทดแทน หากจำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนทดแทน ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และได้รับการดูแลจากแพทย์

วัยทองเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลายอย่าง เนื่องจากไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงแล้ว แต่ถ้ามีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ลดอาหารพวกแป้ง ไขมัน อาหารหวาน อาหารเค็ม รับประทานเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ รับประทานผักใบเขียว และผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี อี สูง และอาหารที่มีแคลเซียมสูง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ พักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบาน แจ่มใสอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้จะทำให้สุขภาพกายแข็งแรง ลดอาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ดีที
เดียวค่ะ

ข้อมูลจากบทความบริการวิชาการประจำเดือนพฤศจิกายน 2549 : อาจารย์ อังสนา ศิรประชา

โรคนอนไม่หลับ

ว่ากันที่จริง ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดานะคะ ที่คนเราจะมีอาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในชีวิต แต่ในบางคน กลับมีอาการรุนแรงและยาวนาน จนเข้าขั้นเป็น "โรคนอนไม่หลับ" ขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
เมื่อพูดถึงโรคนอนไม่หลับ หลายๆ คนมักจะคิดไปว่าเกี่ยวข้องกับความเครียดหรือการคิดมาก ทำให้ไม่กล้าที่จะปริปากบอกผู้อื่นหรือคนใกล้ชิดว่าตนเองกำลังมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับอยู่ เพราะเกรงจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ ที่จริงแล้ว สาเหตุของโรคนอนไม่หลับนั้นมีมากมายหลายอย่าง ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะสาเหตุจากความเครียดเท่านั้นหรอกนะคะ
อาการนอนไม่หลับเองก็มีหลายรูปแบบ ไล่มาตั้งแต่เข้านอนแล้วหลับยาก หรือตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้ หรือตื่นเช้ามืดกว่าปกติแล้วหลับต่อไม่ได้ หรือหลับๆ ตื่นๆ
โดยทั่วไปแล้วเราพอจะสรุปถึงสาเหตุของโรคนอนไม่หลับได้อย่างง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
1. เป็นความผิดปกติในตัวคนนั้นเอง เช่น เคยนอนไม่หลับอยู่ช่วงหนึ่ง ต่อมาจะกังวลว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ทำให้นอนไม่หลับ หรือมีอาการนอนไม่หลับขึ้นมาโดยหาสาเหตุไม่พบ หรืออาจสัมพันธ์กับการนอนกรนบางอย่างได้
2. เป็นจากความผิดปกติภายนอก เช่น เกิดเรื่องราวทำให้เครียด สภาพแวดล้อม ในการนอนไม่ดี หรือเกี่ยวข้องกับการติดยาหรือสารบางอย่าง เช่น เหล้า หรือยานอนหลับ เป็นต้น
3. เป็นอาการหนึ่งของโรคทางจิตเวชหรือโรคทางกาย เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า ที่มีอาการท้อแท้ เบื่อหน่ายชีวิต เบื่ออาหาร ความจำไม่ค่อยดี อ่อนเพลียร่วมด้วย โรคถุงลมโป่งพองหรือโรคสมองเสื่อม เป็นต้น
ส่วนประเภทของโรคนอนไม่หลับนั้น เราแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ค่ะ

ก. การนอนไม่หลับแบบชั่วคราว : ลักษณะนี้หมายถึง นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นหลายวัน แต่ไม่ถึงหลายสัปดาห์ คนไม่น้อยอาจจะเคยประสบกับปัญหาเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความเครียดหรือความกังวลใจต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนหรือแฟน, มีปัญหากับที่ทำงานหรือใกล้ๆ วันสอบหรือวันที่ต้องมีธุระสำคัญ เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นเองภายในไม่กี่วัน หรือในบางรายอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วยในระยะสั้นๆ พออาการดีขึ้นก็หยุดยาได้

ข. การนอนไม่หลับแบบระยะต่อเนื่อง : หมายถึง อาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นอย่างต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายหรือดีขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากความเครียดหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดนั้นยังไม่คลี่คลาย เช่น การ ตกงาน, ปัญหาเศรษฐกิจเงินทอง รวมถึงปัญหาครอบครัว โดยทั่วไปถ้าปัญหาต่างๆ ได้รับการคลี่คลาย การนอนหลับก็มักจะกลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยปัญหาการนอนหลับของตน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื้อรัง ดังในกลุ่มถัดไป
ค. การนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง: คนกลุ่มนี้จะมีปัญหาในการนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่องเกือบทุกคืน ติดต่อกันหลายเดือน หรือแม้กระทั่งเป็นปี สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการก็จะเริ่มซับซ้อนมากขึ้น ไม่ตรงไปตรงมาเพียงแค่ว่าเครียดแล้วนอนไม่หลับ หลายครั้งที่ความเครียดได้เบาบางหรือหายไปหมดแล้ว แต่อาการนอนไม่หลับกลับยังดำเนินอยู่ต่อ บางคนใจจดใจจ่อตลอดเวลาว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ถ้าไม่หลับแล้วพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะทำงานได้อย่างแจ่มใสหรือไม่ ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวการนอน ไม่กล้าที่จะนอน เลยทำให้แทนที่เวลานอนจะเป็นเวลาที่ให้ความสุข กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความทุกข์และทรมาน
การรักษาอาการนอนไม่หลับอย่างแท้จริงนั้น
1. เราจะต้องค้นหาสาเหตุ และกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับก่อน ถ้าเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย หรือโรคทางจิตเวช ก็ต้องรักษาโรคเหล่านั้นให้ดีขึ้น อาจใช้ยาช่วยให้นอนหลับในช่วงเริ่มต้น และใช้ยาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เมื่อความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือความเจ็บป่วยทางจิตเวชดีขึ้น อาการนอนไม่หลับก็จะหมดไป และสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น
2. ปฏิบัติตนตามสุขลักษณะการนอนที่ดี ได้แก่ จัดห้องนอนให้เหมาะแก่การนอนหลับ เช่น ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวหรือเย็นเกินไป ไม่ให้มีเสียงดังอึกทึก ควรมีบรรยากาศที่สงบเงียบ หรืออาจมีเสียงเพลงบรรเลงเบาๆ เป็นต้น
3. ยาช่วยให้นอนหลับ ควรรับประทานเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ควรใช้ยาต่อเนื่องนานเกิน 2-6 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้ติดยา หรือต้องพึ่งยาตลอดไป
อาหารที่ช่วยให้นอนหลับ
1. เครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนนอน ประเภทมอลต์สกัด เช่น โอวัลติน หรือ ไมโล (ไม่ต้องหวาน)
2. เครื่องดื่มชาสมุนไพรต่าง เช่น แคโมไมล์ ไลม์บลอสซัม วาเลอเรียน มะตูม เก๊กฮวย เป็นต้น (ยกเว้นในผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะบ่อย อาจทำให้ปวดปัสสาวะกลางดึก ต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แล้วนอนต่อไม่หลับได้ง่ายๆ)
3. นมชนิดหวานทำให้หลับได้ง่าย เพราะน้ำตาลจะช่วยทำให้เซลล์สมองดูดซึมกรดอะมิโน ทริปโตฟาน จากกระแสโลหิต ให้เปลี่ยนเป็น เซโรโทนินเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย (แต่น้ำตาลก็ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม ต้องชั่งใจดู)4. อาหารจำพวกแป้ง โดยแป้งมีฤทธิ์คล้ายยาระงับความวิตกกังงล หรือทำให้กลูโคสในกระแสเลือดสูงขึ้น กระตุ้นการหลั่ง Serotonin (แต่ก็เพิ่มน้ำหนักตัวด้วยเหมือนกัน)
5. น้ำผึ้ง ซึ่งเคยใช้เป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ มานานแล้ว โดยชงผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยในนมอุ่นๆ หรือ ชาสมุนไพร

ความหมายของคำใน "กศน." ตอนที่ ๒

วันนี้เสนอ คำว่า การศึกษาในระบบ หมายถึง การศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน เป็นการจัดการศึกษาที่มีหลักสูตร ครูผ้สอน สื่ออุปกรณ์ รูปแบบ วิธีการสอน สถานที่ศึกษา
ตัวอย่าง เช่น นักเรียนที่เข้าศึกษาในโรงเรียนต่างๆ หรือนักเรียน นักศึกษา ในสถาบันอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย

การศึกษาทางเลือก หมายถึง ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการจัดการศึกษาด้วยตนเอง โดยสามารถ เลือกวิธีเรียนที่เหมาะสม และเนื้อหาวิชาเรียนตามความต้องการ เพราะเชื่อว่ามนุษย์มีความแตกต่าง
เป็นการจัดการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นและหลากหลาย การจัดกระบวนการเรียนรู้ เนื้อหาสาระการเรียนรู้ สอดคล้องกับธรรมชาติ และความต้องการของผู้เรียน
เป็นการศึกษาที่จัดได้หลายรูปแบบ ได้แก่ จัดโดยครอบครัว หรือโฮมสคูล จัดโดยโรงเรียน หรือ ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ถ่ายทอดความรู้ แก่ผู้เรียน เช่น ศิลปะ ช่างไม้ แกะสลัก แพทย์แผนไทย สมุนไพรต่างๆ เป็นต้น
เป็นการศึกษาที่จัดผ่านสื่อการเรียน และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ

การศึกษาต่อเนื่อง หมายถึงการศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อสนองความต้องการและความจำเป็นของบุคคลต่อเนื่องจากฐานความรู้เดิม ในรูปของกิจกรรมการเรียนรู้หรือหลักสูตรการเรียนรู้ ประเภทมีหน่วยกิต และไม่มีหน่วยกิต ซึ่งมิใช่การศึกษาตามระบบปกติ การศึกษาต่อเนื่อง เป็นได้ทั้งการฝึกอบรมด้านอาชีพ การยกระดับฝีมือในการทำงาน รวมทั้งหลักสูตรการพัฒนาตนเองเพื่อการทำงาน และการเรียนรู้เพื่อการแก้ไขปัญหา
เป็นการศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อสนองความต้องการ และความจำเป็น ของบุคคลต่อเนื่องไปจากการศึกษาขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษา
การจัดการศึกษาต่อเนื่องมีหลายรูปแบบ เช่น การจัดการศึกษาหลังการรู้หนังสือ การศึกษาเพื่อการเทียบโอน การศึกษาเพื่อการมีรายได้ การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษาเพื่อส่งเสริมความสนใจส่วนบุคคล เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น การเรียนหลักสูตรคอมพิวเตอร์จากสถานที่รับสอนต่างๆ หรือการเรียนขับรถยนต์จากสถานที่จัดสอนการฝึกขับรถยนต์ เป็นต้น

ความหมายของคำใน"กศน."



สืบเนื่องจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งประกอบด้วยมาตรา ๒๕ มาตรา เป็นกฎหมายสำหรับให้สถานศึกษาในสังกัดสำนักงาน กศน.และภาคีเครือข่ายดำเนินการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับประชาชนให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจกับสถานศึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคีเครือข่าย หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงาน กศน.จึงได้อธิบายศัพท์ ทฤษฎี หลักการ และวิชาการที่เกี่ยวข้อง ให้มีความชัดเจน ในการบอกความหมายของคำและแสดงตัวอย่างประกอบ จำนวน ๖๐ คำ ซึ่งในวันนี้นำมาเผยแพร่ให้ทราบ ๓ คำ ดังนี้ค่ะ
การศึกษานอกระบบ
หมายถึง การศึกษาที่จัดให้กับประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่จำกัด พื้นฐานการศึกษา อาชีพ ประสบการณ์หรือความสนใจ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้เรียนได้รับความรู้ด้านพื้นฐาน ทักษะในการประกอบอาชีพและทักษะที่จำเป็นสำหรับความรู้ด้านอื่นๆเป็นฐานในการดำรงชีวิต
การจัดการศึกษานอกระบบ มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดผลและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขการสำเร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของผู้เรียน
ตัวอย่าง เช่น การสอนหนังสือให้ผู้ไม่รู้หนังสือในวัยผู้ใหญ่ ให้อ่านออก เขียนได้และเข้าใจหน้าที่พลเมือง

การศึกษาตามอัธยาศัย
การศึกษาที่เกิดขึ้นตามวิถีชีวิตที่ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อมและโอกาส โดยศึกษาจากประสบการณ์ การทำงาน บุคคล ครอบครัว สื่อมวลชน ชุมชน แหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อเพิ่มพูน ความรู้ ทักษะ ความบันเทิงและการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยมีลักษณะที่สำคัญคือ ไม่มีหลักสูตร ไม่มีเวลาเรียนที่แน่นอน ไม่จำกัดอายุ ไม่มีการลงทะเบียน ไม่มีการสอบ ไม่มีการรับประกาศนียบัตร มีหรือไม่มีสถานศึกษาแน่นอน เรียนที่ไหนก็ได้ สามารถเรียนได้ตลอดเวลาและเกิดขึ้นในทุกช่วงวัยตลอดชีวิต
ตัวอย่าง เช่น เด็กเรียนรู้ เกี่ยวกับ ภาษาและคำศัพท์ภาษาอังกฤษ จากรายการโทรทัศน์

การศึกษาตลอดชีวิต
เป็นการศึกษาที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
เป็นการศึกษาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดจนตาย
เป็นการศึกษาที่พัฒนาคนให้ได้เรียนรู้ในรูปแบบต่างๆตามความสามารถของตนเอง เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก สามารถทำงานและอยู่ร่วมกันในสังคม

รู้ใจวัยรุ่น

ช่วงนี้เปิดเทอมแล้ว.....โรงเรียนทุกแห่งก็ดูคึกคักและสดใสต้อนรับนักเรียน นักศึกษา.... เด็กๆ ลูกๆ หลานๆ ข้างบ้านเมื่อวานยังตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย...เปิดเทอมครั้งนี้ใส่เครื่องแบบนิสิต นักศึกษาเสียแล้ว ไวจริงๆเลย แล้วเราจะไม่แก่ได้อย่างไรกันเนี่ย...วัยรุ่นเป็นวัยที่สดใสร่าเริง และเป็นช่วงต่อระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกายและอารมณ์ รวมทั้งสังคมใหม่ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาต่างๆ จึงจำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่รวมทั้งผู้ปกครองของเด็กวัยรุ่นต้องรู้เท่าและรู้ทันในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีความแตกต่างกันในการเลี้ยงดูลูกแต่ละยุคแต่ละสมัย...แต่ไม่แตกต่างกันในตัวของผู้ปกครองนั่นก็คือความรักและความปรารถนาดีที่มีให้ต่อบุตรหลาน ...แต่จะทำอย่างไร จึงจะให้พวกเขาได้เข้าใจถึงความหวังดีของผู้ปกครอง..เป็นการบังเอิญหรือย่างไรไม่ทราบไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนแล้วมีการพบผู้ปกครอง...ทางโรงเรียนจัดให้มีการเลือกคณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง ซึ่งดิฉันก็เป็นผู้หนึ่งที่บรรดาคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายโหวตให้เป็นคณะทำงานก็รับมาด้วยความเต็มใจยิ่ง (แบบงงๆ)....ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่หลายท่านเรื่องการเลี้ยงดูลูก(ทำนองนินทาลูก....) ก็รู้ได้เลยว่าทุกคนมีปัญหาคล้ายคลึงและใกล้เคียงกัน จึงนำเสนอบทความนี้เพื่อแลกเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดูบุตรหลานกับผู้อ่านทุกท่านน่ะค่ะ หากท่านมีแนวคิดดีๆ ก็บอกกล่าวกันบ้างก็จะดีไม่น้อย


การได้อยู่ในครอบครัวที่มีสัมพันธภาพและบรรยากาศอบอุ่นเป็นความสุขและมีคุณค่าอย่างยิ่ง เป็นที่พึงปรารถนาของคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกคน ครอบครัวที่ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดมึนตึงเข้าหากันเป็นเวลาเนิ่นนาน เกินไปย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของทุกคนในครอบครัวและผู้เกี่ยวข้อง ทุกคนในครอบครัวสามารถช่วยกันได้ด้วยวิธีง่ายๆดังนี้

๑ วาจาดี หรือการแสดงออกซึ่งการห่วงหาอาทรกันและกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อันเป็นกุญแจดอกสำคัญที่นำไปสู่ความรัก ความผูกพันของคนในครอบครัวอย่างได้ผล

๒ แบ่งเบาภาระหน้าที่ของกันและกัน ด้วยความเสียสละ ถ้อยทีถ้อยอาศัย อดทน

๓ สำคัญที่สุดคือ การให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน ไม่ซ้ำเติมให้เสียน้ำใจ

ความสุขที่มีทั้งความรัก ความอบอุ่น ในครอบครัวเป็นปัจจัยรากฐานที่สำคัญมาก สำหรับการพัฒนาบุคลิกภาพและการอบรมบ่มนิสัยให้ลูกหลาน เป็นคนดีของสังคมป้องกันภัยอันตรายจากสิ่งแวดล้อมในสังคมปัจจุบัน สิ่งที่พ่อแม่ควรทำมีดังนี้

๑ ไม่ควรขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ มาพูดไม่รู้จบ

๒ ไม่ควรเปรียบเทียบลูกของตัวเองกับลูกคนอื่น

๓ คอยดูแลลูกให้มีระเบียบวินัยและอดทนกับอาการไม่พอใจของลูกที่ไม่อยากให้ยุ่งกับห้องและของใช้ส่วนตัว

๔ ควรฟังสิ่งที่ลูกเล่า ทำให้ลูกไว้วางใจ กล้าเข้ามาขอคำปรึกษาหารือเรื่องต่างๆได้

๕ พ่อแม่ควรบอกรักให้ได้ยินบ่อยๆ รักทั้งคำพูดและการกระทำไม่เอาแต่บ่นว่า

๖ ควรบอกเหตุผลด้วยคำพูดดีๆ ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้คำหยาบ

๗ ควรชมลูกเมื่อกระทำดีหรือสิ่งถูกต้อง ลูกจะได้มีกำลังใจและทำต่อไป

๘ ควรให้ลูกได้ตัดสินใจด้วยตัวเองบ้าง เมื่อผิดพลาดก็ให้เป็นบทเรียนและชี้ถูกผิดให้กับลูกรวมทั้งประพฤติตนที่ดีเป็นแบบอย่างให้กับลูกด้วย

๙ ควรมีเวลาทำกิจกรรมกับลูกบ้าง และไม่วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ลูกชอบ

๑๐ ควรส่งเสริมสิ่งที่ลูกชอบและให้ความสนใจในกิจกรรมดีๆที่ลูกเลือกและต้องการ โดยไม่มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ



(ข้อมูลจากหนังสือพ่อแม่รู้ใจ วัยรุ่นรู้ทัน ของสำนักงาน กศน.)

พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ।ศ.๒๕๕๐ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๐ นั้นแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อการบริหารจัดการด้าน IT ที่องค์กรภาครัฐและหน่วยงานท้องถิ่นส่วนใหญ่ยังไม่ให้ความสำคัญเนื่องจากมองเป็นสิ่งไกลตัว และยังไม่เข้าใจเนื้อหาสาระว่ามีความเกี่ยวโยงกับการบริหารจัดการภายในหน่วยงานอย่างไร

วันนี้จะนำเรื่องที่สุ่มเสี่ยงและใกล้ตัวท่านและองค์กรท่านมาพูดคุยกัน นั่นก็คือการใช้งาน อินเตอร์เน็ต ภายในองค์กรภาครัฐและเอกชน มาตรา ๒๖ แห่ง พ।ร.บ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ "ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน นับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการผู้ใด เก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกิน ๙๐ วัน แต่ไม่เกิน ๑ ปี เป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้ ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็น เพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการนับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๙๐ วันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฎิบัติตามมาตรานี้ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ห้าแสนบาท "
ซึ่งคำว่าผู้ให้บริการตามมาตรา ๒๖ นั้น ให้หมายรวมถึงองค์กรต่างๆ ที่ให้บริการ อินเตอร์เน็ต แก่บุคคลทั่วไปและบุคลากรภายในองค์กรด้วย นั่นหมายความว่าทุกหน่วยงานที่มี อินเตอร์เน็ต ให้บริการภายในหน่วยงานเข้าข่ายที่จะต้องปฎิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ทั้งนั้น
จะต้องทำอย่างไร
ก็จะต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์อย่างน้อย ๙๐ วัน
ข้อมูลที่ต้องเก็บรักษาเหล่านั้นมีอะไรบ้าง
อย่างง่ายๆ ก็คือข้อมูลที่จะทำให้สามารถตอบคำถามได้ว่าใครเข้าไปใช้งานอินเตอร์เน็ตเมื่อไร และเข้าไปใช้ทำอะไร ถ้าหากระบบที่หน่วยงานของท่านใช้อยู่ไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ ก็หมายความว่าหน่วยงานของท่านไม่ปฎิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ แน่นอน....ว่าผู้รักษากฎหมายฉบับนี้ไม่มีนโยบายที่จะตรวจว่าผู้ให้บริการต่างๆปฎิบัติตามหรือไม่ ท่านก็คงมองว่าป็นเรื่องไกลตัว แต่หากว่าผู้ใช้อินเตอร์เน็ต กระทำผิดกฎหมายข้อใดข้อหนึ่งแล้วมีการสืบสวนมาถึงหน่วยงานของท่านสิ่งเหล่านี้ไม่ไกลตัวเสียแล้วล่ะค่ะ॥เพียงการโพสข้อความในอินเตอร์เน็ตหมิ่นสถาบัน หมิ่นประมาท ใส่ร้ายผู้อื่น ส่งภาพอนาจารต่างๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะนำภัยมาถึงหน่วยงานของท่านแล้ว หรือท่านจะว่าเรื่องขี้ผง...ปรับแค่ ห้าแสนบาทเอง.....(ข้อมูลจากคลีนิก ไอที อบจ.พิษณุโลก)

ข้อคิดสำหรับผู้จะสร้างบ้าน

๑๐ จุดหมกเม็ดของผู้รับเหมา (ไม่ดี)


คงเป็นเรื่องน่าปวดศรีษะสำหรับเจ้าของบ้านหากเจอผู้รับเหมาที่ไม่ซื่อตรง...ต้นปีหน้าดิฉันคิดจะปลูกบ้านในฝันของตัวเองสักหลังหนึ่งก็ค้นคว้าตำหรับตำราการปลูกบ้านสำหรับมือใหม่มาอ่านยกใหญ่.......ไม่ว่าจะเป็นแปลนบ้านจนถึงการก่อสร้างที่เจ้าของบ้านควรจะรู้ไว้ จากประสบการณ์เจ้าของบ้านส่วนใหญ่จะวางใจผู้รับเหมามากและพอส่งมอบงานก็เกิดเรื่อง จะแก้ไขก็ยากจะทุบอาคารทิ้งรื้อทำใหม่ก็ทำให้สิ้นเปลืองหนักเข้าไปอีก ไหนจะเป็นภาระกับการกู้ธนาคาร ซึ่งให้เงินมาตามวงเงินที่ขออนุมัติแบบไป ดิฉันพูดในฐานะคนชั้นกลางโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีทุนพอจะทุบรื้อทิ้ง ทำใหม่ ก็ไม่กล้าพอจะทำเช่นนั้นจำต้องทนรับมอบงานเช่นนั้นมา อยู่ไม่ถึงปี เดี๋ยวก็ร้าว ตรงโน้น รั่วตรงนี้ น่าเห็นใจจริงๆ ดิฉันเห็นเรื่องนี้เข้าสะดุดใจจึงนำมาฝากสำหรับคนคิดจะสร้างบ้านเป็นของตนเองทั้งในเร็ววันนี้หรือในอนาคตข้างหน้า ค่ะ

จุดที่ ๑ เริ่มจากสัญญาก่อสร้าง

งานเอกสารสัญญาที่ส่อเจตนาทุจริต อาทิเช่น แผนการเบิกเงินในแต่ละงวดมีจำนวนสูงกว่าปริมาณงานที่ทำจริงอยู่มาก พอสบโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะทิ้งงานไปเฉยๆ ดังนั้นเจ้าของบ้านควรตรวจสอบสัดส่วนของเงินแต่ละงวดในเอกสารสัญญาให้ถี่ถ้วนด้วย

จุดที่ ๒ การถมที่ดินด้วยเศษวัสดุ

งานก่อสร้างบนที่ดินว่างเปล่าหรือที่ต่ำกว่าระดับถนนมักเริ่มต้นด้วยการถมดิน ดินที่เหมาะกับงานถมต้องเป็นดินเหนียวที่จะถมในชั้นแรก ตามด้วยหน้าดินเพื่อให้ปลูกต้นไม้หรือหญ้าได้ ในขั้นตอนนี้ผู้รับเหมาที่ชอบซิกแซกมักจะหาเศษวัสดุ อิฐหักแฃละขี้ปูนมาถมเป็นชั้นแรกแทนดินเหนียว ผลที่ตามมาคือการทรุดตัวของผิวดินและสิ่งก่อสร้าง

จุดที่ ๓ ฐานรากไมได้มาตรฐาน

สิ่งสำคัญอันดับแรกๆองการก่อสร้างคือการตอกเสาเข็ม เพราะป็นส่วนฐานรากที่หยั่งลึกลงไปในดิน หากเกิดความผิดพลาดก็ยากที่จะสืบค้นและซ่อมแซม จะส่งผลต่อการทรุดตัวของอาคารในระยะยาวแน่นอน ควรมีคนควบคุมงานและทำบันทึกผลการตอกเสาเข็มด้วยข้อมูลจริง

จุดที่ ๔ ก่อผนังไม่มีทับหลัง

สำหรับงานก่ออิฐที่ดิน นอกจากต้องใช้วัสดุที่ถูกต้องตามแบบรายการวัสดุก่อสร้างแล้ว วิธีการก่อสร้างก็สำคัญไม่แพ้กัน มาตรฐานการก่อผนังอิฐจะต้องมีเสาเข็มและทับหลังในจุดสำคัญ หากผู้รับเหมาไม่ทำให้ถูกต้องจะทำให้การรับแรงของผนังลดน้อยลงจะเกิดรอยร้าวในระยะต่อมาและเกิดการโยกคลอนได้ง่าย

จุดที่ ๕ ใช้เสาเข็มสั้นเกินไป

งานก่อสร้างชนิดต่อเติมอาคาร ผู้รับเหมาซึ่งใช้วิธีการผิดๆเช่น การก่อสร้างส่วนต่อเติมเข้าไปเชื่อมติดกับอาคารเดิมด้วยเสาเข็มสั้น จะเกิดการทรุดตัวที่แตกต่างกันระหว่างอาคารเดิมและส่วนต่อเติมภายหลังโครงสร้างเก่าและโครงสร้างใหม่ก็จะเกิดการแยกตัว

จุดที่ ๖ ลดคุณภาพเหล็ก

ผู้รับเหมาที่เจตนาไม่ดีมักหาช่องทางในการลดต้นทุนด้วยการลดคุณภาพเหล็ก เช่นเหล็กเส้นก็เลือกเหล็กไม่เต็มขนาด เจ้าของบ้านจึงควรให้มืออาชีพเข้ามาควบคุมดูแลการใช้วัสดุอย่างใกล้ชิด

จุดที่ ๗ การปรับความลาดเอียงของจุดรับน้ำต่างๆ

พื้นที่รับน้ำต่างๆ ตั้งแต่พื้นห้องน้ำ ทางเดินภายนอก และอื่นๆ จะต้องทำให้มีความลาดเอียงเพื่อมิให้เกิดน้ำขังเป็นอันตรายทำให้ผู้ใช้ลื่นล้มได้ ผู้รับเหมาที่ดีจะต้องทดสอบด้วยการราดน้ำและปรับแก้ความลาดเอียงในจุดที่น้ำขังตัวให้

จุดที่ ๘ งานเดินท่อต่างๆ

งานประปาเป็นจุดหนึ่งที่ผู้รับเหมาหมกเม็ดไว้ เช่น การใช้ท่อที่ไม่แข็งแรงพอ การต่อท่อแบบไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะได้ข้อต่อที่ไม่แข็งแรงและรั่วซึมในจุดที่มองไม่เห็นและที่แย่กว่านั้นคือไม่ทดสอบแรงดันของท่อน้ำ
ที่บางจุดอาจวางในพื้นที่ไม่ได้ระดับกัน


จุดที่ ๙ งานทาสี

ผู้รับเหมาอาจตบตาด้วยถังสียี่ห้อที่มีคุณภาพมาเป็นภาชนะใส่สี เจ้าของบ้านควรตรวจสอบด้วยการให้ผู้รับเหมาเปิดถังสีใหม่เมื่อเริ่มทาสีเพราะฝาถังจะมีแหวนรัดรอบซึ่งทำปลอมได้ยาก

จุดที่ ๑๐ งานรองพื้น

สำหรับงานสี เช่นสีรองพื้นกันสนิมที่ใช้ทำโครงสร้างเหล็กหลังคา หากกำหนดให้ทาสองรอบ ผู้รับเหมาที่มักง่ายมักทารอบเดียวแล้วส่งงานเลย ควรใช้สีแตกต่างกันในรอบแรกและรอบสอง ตรวจสอบได้ง่ายจากการขูดดูชั้นของสี

๑๐ข้อที่เล่ามาเบื้องต้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งในจิปาถะกับการสร้างบ้านสักหนึ่งหลังเพียงเล็กๆน้อยๆก็สามารถทำให้ผู้อยากจะมีบ้านในฝันได้รู้ทันไว้บ้างก็จะดี...ข้อมูลจากหนังสือบ้านและสวนโดยคุณศักดา ประสานไทย


มงคลชีวิต



อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน
อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา
อย่าเสวนาคนชั่ว อย่ามั่วอบายมุข
อย่าชิงสุกก่อนห่าม อย่าพล่ามก่อนทำ
อย่ารำก่อนเพลง อย่าข่มเหงผู้น้อย
อย่าคอยแต่ประจบ อย่าคบแต่เศรษฐี
อย่าดีแต่ตัว อย่าเอาชั่วใส่คนอื่น
อย่าฝืนกฎระเบียบ อย่าเอาเปรียบสังคม
อย่าชมคนผิด อย่าคิดเอาแต่ได้
อย่าใส่ร้ายคนดี อย่ากล่าววจีมุสา
อย่านินทาพระเจ้า อย่าขลาดเขลาเมื่อมีทุกข์
อย่าสุขจนลืมตัว อย่าเกรงกลัวงานหนัก
อย่าพิทักษ์พาลชน อย่าลืมตนเมื่อมั่งมี

สุภาษิตสอนนาย

•นายที่ดีต้องเอาใจใส่ลูกน้อง
•คอยสอดส่องทุกข์สุขอยู่ทุกด้าน
•คอยช่วยเหลือเมื่อลูกน้องนั้นต้องการ
•แต่ไม่ถึงกับจุ้นจ้านจนเกินควร

•งานสำเร็จลงก็ด้วยเขาช่วยกัน
•ไม่ควรดื้อถือรั้นไม่ฟังห้าม
•เป็นนายเขาเอาแต่ใจใครจะตาม
•ควรฟังความเห็นอื่นบ้างเป็นทางดี

•ไม่จำเป็นต้องศึกษามากกว่าเขา
•ให้เป็นหลักพอเป็นเค้าเขาเชื่อมั่น
•แม้เป็นนายรู้จักใช้สบายครัน
•ไม่จำเป็นต้องฟาดฟันอยู่คนเดียว

•อันหัวหน้าที่ดีมีเมตตา
•ปรารถนาให้เขาสุขทุกสถาน
•มีกรุณาคอยช่วยด้วยต้องการ
•ให้เขาผ่านพ้นทุกข์มีสุขใจ

•หัวหน้าดีนั้นให้เห็นเป็นตัวอย่าง
•ช่วยเขาทำทุกอย่างจนรอบด้าน
•ไม่เอาเปรียบใช้คนอื่นตัวชื่นบาน
•แล้วเสนอผลงานเพื่อตนเอง

การประเมินผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ

วิธีประเมินผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ
หลักเกณฑ์และคุณสมบัติ (ประกาศใช้ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑)

ดำรงตำแหน่งชำนาญการพิเศษไม่น้อยกว่า ๓ ปี
บริหารสถานศึกษาเต็มเวลา
ได้ปฏิบัติงานและมีผลงานในสถานศึกษาย้อนหลัง ๒ ปี
การขอรับการประเมิน
ขอรับการประเมินได้ปีละ ๑ ครั้ง และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือนแต่ไม่เกิน ๑ ปี
ผู้ขอขอด้วยตนเองหรือหน่วยงานเสนอขอให้
ผู้ เกษียณให้ยื่นก่อนเกษียณไม่น้อยกว่า ๖เดือน
ต้องผ่านการประเมิน ๓ ด้าน ดังนี้
๑. ด้านความประพฤติ วินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ
๒. ด้านคุณภาพการบริหารและการพัฒนาสถานศึกษา พิจารณาจาก

๒.๑ ประจักษ์พยานการบริหารสถานศึกษา
๒.๒ รายงานการประเมินตนเองอย่างน้อย ๑ ปีการศึกษา
๓. ด้านผลการบริหารและการพัฒนาสถานศึกษา พิจารณาจาก
๓.๑ ผลการประเมินคุณภาพภายใน,ผลการประเมินคุณภาพภายนอก, คะแนนผลการทดสอบระดับชาติ, ผลการทดสอบของแต่ละหน่วยงาน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อย่างน้อย ๒ ปีการศึกษา รวมทั้งความร่วมมือของชุมชน ความสำเร็จในการพัฒนาครู สถานศึกษาและชุมชน
๓.๒. รายงานการวิจัยสถาบัน
วิจัยสถานศึกษาของตนและนำผลไปใช้ในการบริหารสถานศึกษาแล้วประสบผลดี สามารถเป็นแบบอย่างได้

๓.๓ . นวัตกรรมและการรายงานพัฒนา
รายงานการพัฒนานวัตกรรมการบริหารสถานศึกษาซึ่งนำไปใช้บริหารสถานศึกษาแล้วประสบผลดีสามารถเป็นแบบอย่างได้

ผู้ที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนวิทยฐานะต้องมีผลการประเมินของคณะกรรมการเป็นเอกฉันท์ โดยมีผลการประเมินแต่ละด้านดังนี้
๑.. ด้านความประพฤติ วินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพอยู่ในเกณฑ์ ผ่านและเป็นแบบอย่างที่ดี
๒. . ด้านคุณภาพการบริหารและการพัฒนาสถานศึกษา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗๕
๓. ด้านผลการบริหารและการพัฒนาสถานศึกษา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗๕
การพิจารณาอนุมัติผลการประเมินให้ก.ค.ศ.เป็นผู้อนุมัติสำหรับผู้ที่ยื่นคำขอในช่วงวันที่ ๑ ถึง ๓๐ เมษายนให้มีผลไม่ก่อนวันที่ ๑ พฤษภาคมของปีที่ขอหรือผู้ที่ยื่นคำขอในช่วงวันที่ ๑ ถึง ๓๑ ตุลาคมให้มีผลก่อนวันที่ ๑ พฤศจิกายนของปีที่ขอ
วิธีการประเมินด้วยวิธีปกติ
ให้ยื่นคำขอด้วยตนเองต่อหัวหน้าส่วนหรือผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและรับรองแล้วส่งสำนักงานก.ค.ศ.ในช่วงวันที่๑ ถึง ๓๐เมษายนหรือ๑ ถึง ๓๑ตุลาคม
ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ตรวจสอบคุณสมบัติและรับรองข้อมูลว่าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับการประเมิน

ให้ผู้รับการประเมินส่งเอกสาร ดังนี้
ประจักษ์พยานการบริหารสถานศึกษา ๑ ชุด
รายงานการประเมินตนเองรวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่อื่นที่ได้รับมอบหมายอย่างน้อย ๑ปีการศึกษา ๑ชุด
รายงานการวิจัยสถาบัน/การวิจัยสถานศึกษาของตนเองนำไปใช้ในการบริหารแล้วประสบผลดีเป็นแบบอย่างได้ อย่างน้อย ๑ชิ้น
นวัตกรรมและรายงานการพัฒนานวัตกรรมการบริหารสถานศึกษานำไปใช้แล้วประสบผลดีเป็นแบบอย่างได้ อย่างน้อย ๑ชุด
สำเนาทะเบียนประวัติข้าราชการ ก.พ.๗ รับรองโดยผู้บังคับบัญชา
สำนักงานเขตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารและส่งสำนักงาน ก.ค.ศ.
ก.ค.ศ.ตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน ๓ คน ต่อผู้ขอ ๑ราย เป็นกรรมการประเมิน
การประเมินให้ประเมินตามแบบที่ ก.ค.ศ. กำหนด
หากผ่านเกณฑ์การประเมินด้านที่ ๑แล้วให้ทำการประเมินด้านคุณภาพการบริหารและพัฒนาสถานศึกษาและด้านผลการบริหารและพัฒนาสถานศึกษาต่อไป
คณะกรรมการส่งผลการประเมินให้สำนักงาน ก.ค.ศ. พิจารณา
กรณีไม่อนุมัติสามารถส่งคำขอประเมินใหม่ได้ในปีต่อไป
กรณีอนุมัติให้เสนอผู้มีอำนาจตามมาตรา ๕๓ พิจารณาดำเนินการบรรจุและแต่งตั้งและรายงาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาเพื่อทราบ

การจัดการศึกษาสายอาชีพ (ปวช.)

การจัดการศึกษาสายอาชีพ(ปวช।)สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียนได้รับการอนุมัติให้ใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช ๒๕๔๕ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๔๖ ) ของสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา โดยจัดการศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่นอกระบบโรงเรียนและเป็นผู้มีงานทำในสถานประกอบการหรือสถานประกอบวิสาหกิจหรือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน มีพื้นฐานความรู้ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยเปิดโอกาสให้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานมาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา
๑.โครงสร้างหลักสูตร
หมวดวิชาสามัญ ไม่น้อยกว่า ๒๖ หน่วยกิต
หมวดวิชาชีพ ไม่น้อยกว่า ๖๖ หน่วยกิต
หมวดวิชาเลือกเสรี ไม่น้อยกว่า ๑๐ หน่วยกิต
ฝึกงานไม่น้อยกว่า ๑ ภาคเรียน
กิจกรรมเสริมหลักสูตร ไม่น้อยกว่า ๒๐๐ ชั่วโมง
๒. วิธีเรียน คือ การพบกลุ่ม
๓. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
๓.๑ การเรียนรู้ด้วยตนเอง
๓.๒ การพบกลุ่ม
๓.๓ การสอนเสริม
๓.๔ กิจกรรมเสริมหลักสูตร
๓.๕ การจัดทำโครงการ
๔. การรับสมัคร
นักศึกษาสามารถลงทะเบียนเรียนรายวิชาตามวัน เวลา และวิธีการที่สถานศึกษากำหนด ดังนี้
ภาคเรียนที่ ๑ วันที่ ๑-๓๐ เมษายน ของทุกปี
ภาคเรียนที่ ๒ วันที่ ๑-๓๑ ตุลาคม ของทุกปี
โดยนักศึกษาสามารถลงทะเบียนในแต่ละภาคเรียนได้ไม่เกิน ๑๘ หน่วยกิต ทั้นนี้ไม่นับรวมรายวิชาที่เทียบโอนผลการเรียน
๕. ระยะเวลาการศึกษา ๖ ภาคเรียน หรือน้อยกว่า หากมีการเทียบโอนผลการเรียน
๖. การจบหลักสูตร
ผู้เรียนจะจบหลักสูตรได้ต้องผ่านเกณฑ์ดังนี้
๑.ลงทะเบียนเรียนและสอบผ่านรายวิชาต่างๆตามโครงสร้างหลักสูตรของแต่ละสาขาอาชีพ
๒. ได้จำนวนหน่วยกิตสะสมตามโครงสร้างของหลักสูตรแต่ละประเภทวิชาและสาขาวิชา
๓. ได้ค่าคะแนนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า ๒.๐๐
๔. ต้องผ่านกระบวนการประเมินกิจกรรมเสริมหลักสูตร ๒๐๐ ชั่วโมง
๕. ต้องเข้ารับการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ
๗. วุฒิการศึกษาที่ได้รับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ

กศน.กับนโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปีอย่างมีคุณภาพ


รัฐบาลมีนโยบายที่จะสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ๑๕ ปีให้แก่นักเรียน นักศึกษา ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งนอกจากจะจัดงบประมาณเพิ่มเติม เป็นค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าชุดนักเรียน และค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนแล้วนั้น ในส่วนของการศึกษานอกโรงเรียน ได้จัดสรรให้เป็นค่าหนังสือเรียน และค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยกำหนดหลักการในการดำเนินงาน ดังนี้
๑.สถานศึกษาเป็นผู้ดำเนินการหลัก
๒.เน้นการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา ครู และนักศึกษา
๓.เน้นการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
๔।เน้นการปฎิบัติงานให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของทางราชการ

หมวดค่าเล่าเรียน
ระดับประถมศึกษา คนละ ๑,๑๐๐ บาท ต่อปี
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คนละ ๒,๓๐๐ บาท ต่อปี
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คนละ ๒,๓๐๐ บาท ต่อปี
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ คนละ ๔,๒๔๐ บาท ต่อปี

หมวดหนังสือเรียน
ระดับประถมศึกษา คนละ ๒๙๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คนละ ๓๖๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คนละ ๔๐๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับประการศนียบัตรวิชาชีพ คนละ ๕๐๐ บาท ต่อภาคเรียน

หมวดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
ระดับประถมศึกษา คนละ ๑๔๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คนละ ๒๙๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คนละ ๒๙๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ คนละ ๕๓๐ บาท ต่อภาคเรียน

ต้อหินกับคอมพิวเตอร์


ต้อหินกับคอมพิวเตอร์ ยิ่งมีอายุมากก็มีโอกาสเป็นมากกว่าคนอายุน้อย ส่วนมากพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ศ।พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต อธิบายการเป็นต้อหินว่า ต้อหินเป็นโรคที่มีการทำลายประสาทตาอย่างช้าๆ โดยผู้ที่เป็นมักมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือความดันในตาสูง ทำให้ลูกตาแข็งกว่าปกติอันเป็นที่มาของชื่อที่ว่า ต้อหิน นอกจากดวงตาจะแข็งเหมือนหินแล้วยังเป็นโรคที่การรักษาค่อนข้างจะยุ่งยากหรือค่อนข้างหินตามภาษาชาวบ้าน หากรักษาไม่ได้ตาจะบอดเกือบทุกราย ซ้ำบางรายต้อหินบางชนิดนอกจากทำให้ตาบอดแล้วยังเจ็บปวดอีก คือแม้ตาไม่เห็นแล้วเจ้าตัวยังมีอาการเจ็บปวด ทุกข์ทรมานจนบางคนยอมให้แพทย์เอาตาออกเพื่อระงับความเจ็บปวด

ต้อหินมีด้วยกัน 3 ชนิด
ชนิดแรกเป็นต้อหินโดยไม่ทราบสาเหตุพบมากที่สุด
ชนิดที่สองเป็นต้อหินเนื่องจากมีโรคอื่นอยู่ก่อนแล้วเกิดแทรกซ้อน ด้วยโรคต้อหินตามหลังพบรองลงมา และชนิดที่สามพบน้อยที่สุดเป็นต้อหินในเด็กเป็นมาแต่กำเนิด คือเป็นโรคต้อหินตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลยทีเดียว เกิดเนื่องจากการกำเนิดลูกตาระหว่างที่เป็นตัวอ่อนในครรภ์มีความผิดปกติ ทำให้น้ำภายในลูกตาไหลเวียนไม่สะดวก มีน้ำคั่งในลูกตาทำให้ความดันตาสูงขึ้น
ต้อหินที่สำคัญเป็นต้อหินชนิดแรกที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเหตุใดจึงเกิดกับคนๆ นั้นๆ ในขณะที่ผู้อื่นไม่เป็นกัน ต้อหินชนิดนี้เป็นโรคสำคัญที่ทำให้ประชากรของโลกตาบอด รองลงมาจากต้อกระจก ต้อหินชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุนี้ยังแบ่งออกได้ 2 ลักษณะตามอาการแสดงที่มาพบแพทย์ เรียกกันว่า ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรัง และ ต้อหินมุมปิดซึ่งมักจะเรียกกันว่าต้อหินเฉียบพลัน สำหรับต้อหินเฉียบพลันนั้นคนที่เป็นมักมีอาการอย่างกะทันหันโดยมีอาการปวดตา ปวดศีรษะ ตาแดง และตามัวอย่างฉับพลัน จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการมาพบแพทย์นักเนื่องจากมักจะทนไม่ไหวกับอาการเจ็บปวด ส่วนต้อหินเรื้อรังค่อนข้างจะเป็นปัญหาในบ้านเรา เพราะว่าเป็นต้อหินที่ค่อยเป็นค่อยไปไม่เจ็บปวด อีกทั้งตาไม่แดงแต่สายตาจะมัวลงอย่างช้าๆ กว่าเจ้าตัวจะรู้ก็เกือบจะบอดแล้วเป็นต้อหินที่สัมพันธ์กับการใช้คอมพิวเตอร์ที่เป็นข่าวอยู่ขณะนี้
ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรังแม้เราไม่รู้สาเหตุของการเกิดอย่างแท้จริง แต่ก็ได้พยายามศึกษาถึงลักษณะของโรค พยายามแก้ไขไม่ให้ผู้ที่เป็นต้อตาบอด สิ่งที่เราทราบก็คือต้อหินชนิดนี้มักพบในคนสูงอายุ มักพบในผู้ที่เป็นเบาหวาน ผู้ที่เป็นโรคของต่อมไทรอยด์ ผู้ที่มีประวัติในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ ผู้ที่นอนกรนมากจนหยุดการหายใจ (sleep apnea) ความดันโลหิตสูงและผู้ที่มีสายตาสั้น จนบางคนอาจกล่าวว่ายีนส์ของการถ่ายทอดโรคทางกรรมพันธุ์ของต้อหิน เบาหวาน และสายตาสั้นคงจะอยู่ชิดกันมาก จึงพบโรคทั้ง 3 ในคนเดียวกันเสมอๆ

ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรังนี้สัมพันธ์กับการใช้คอมพิวเตอร์จากการศึกษาของแพทย์ชาวญี่ปุ่นอย่างไร ตามที่กล่าวแล้วว่าต้อหินชนิดนี้พบในคนสูงอายุ การศึกษานี้ก็ตรวจเฉพาะคนสูงอายุเช่นเดียวกัน มีการศึกษาของหลายประเทศตามอุบัติการณ์ของต้อหินชนิดนี้ได้ 1-2 % ในประชากรที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป การศึกษานี้พบต้อหินได้ประมาณ 1-6% อยู่ในตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน ชาวญี่ปุ่นมีอุบัติการณ์สายตาสั้นค่อนข้างมากจึงน่าเชื่อว่าชาวญี่ปุ่นที่นำมาศึกษาน่าจะมีสายตาสั้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงอันหนึ่งของการเป็นต้อหิน ส่วนอีกประการหนึ่งการที่สายตาสั้นแม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร แต่เชื่อกันว่าผู้ที่ใช้สายตาเพ่งมองใกล้มาก พวกหนอนหนังสือ ผู้ที่มีไอคิวสูงมักจะมีสายตาสั้น ทั้งหมดจึงอาจเกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้กันมานานแล้ว การศึกษาของจักษุแพทย์ชาวญี่ปุ่นนี้จึงเน้นย้ำให้ประชาชนระวังถึงโอกาสการเป็นต้อหินซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์โดยตรงที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดในปัจจุบัน ภาษิตโบราณว่าถ้าจิ้งจกทักเรายังต้องระวัง ในกรณีนี้แนะนำให้ใช้คอมพิวเตอร์ในระยะที่เหมาะสมแม้จะไม่ได้ป้องกันโรคต้อหินแต่ก็ทำให้ไม่มีภาวะสายตาเมื่อยล้า ตาแห้งจากการใช้คอมพิวเตอร์มากไป

อย่างไรก็ตามเราคงไม่ต้องตื่นกลัวการเป็นต้อหินจากการใช้คอมพิวเตอร์ตามข่าวนี้ แต่ก็ไม่ควรเพิกเฉยกับโรคนี้ ด้วยอุบัติการณ์ที่พบได้ 1-2% ในคนสูงอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยไม่มีอาการอะไรนำมาก่อน ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปจึงควรได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อที่ว่าหากพบโรคนี้ในระยะแรก การรักษาในระยะแรกจะทำให้คุณมีโอกาสสูญเสียสายตาน้อยที่สุด และยิ่งถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่น เป็นโรคเบาหวาน มีความดันโลหิตสูง มีโรคหลอดเลือด มีภาวะสายตาสั้น มีประวัติโรคต้อหินในครอบครัว คุณควรต้องเฝ้าระวังโดยการตรวจหาภาวะต้อหินอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์คงหลีกเลี่ยงการใช้ไม่ได้ ในโลกของข้อมูลข่าวสารปัจจุบันควรใช้คอมพิวเตอร์ครั้งละ 2 ชั่วโมง พักสายตาไปทำงานอื่น 15 นาทีแล้วกลับมาทำใหม่ การจัดระบบของโต๊ะและจอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมทำให้คุณสบายตา ไม่เมื่อยล้าและอาจจะชะลอมิให้คุณมีสายตาที่สั้นเพิ่มขึ้นเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของการเป็นต้อหินก็เป็นได้

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ภัยเงียบที่มาจากความเครียด

ความเครียด.......

เป็นสาเหตุของกลุ่มอาการต่างๆ ที่นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บมากมาย
ในยุคที่เศรษฐกิจประสบกับภาวะวิกฤตแบบนี้ ความเครียด ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนแตกต่างกันไปตามสภาพหน้าที่การงานและภาวะทางสังคม หลายคนไม่ทราบว่าตนเองมีความเครียดฝังอยู่ลึกๆ ในตัว จนกลายไปสู่ภัยเงียบที่มาถึงตัวเองได้...โดยไม่รู้ตัว

เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับโครงสร้างร่างกาย จากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ (ARIYA WELLNESS CENTER) กล่าวว่า ความเครียดแบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่

1. Acute stress (เอคิว สเทรท) เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในทันทีและร่างกายก็จะตอบสนองโดยการแสดงออกมาทันที ซึ่งความเครียดนี้ จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เกิดผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจไม่นาน แต่ถ้าบ่อยก็จะส่งผลเป็นความเครียดแบบเรื้อรังได้

2. Chronic stress (โครนิค สเทรท) เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กับภาวะร่างกายและจิตใจทุกวันๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่รุมเร้าคนในสังคมปัจจุบัน ความเครียดจากปัญหาจากการทำงานที่เป็นภาวะที่ไม่อาจเลี่ยงได้ เช่น ความเบื่อหน่ายจากการทำงาน จากเพื่อนร่วมงาน จากเจ้านายที่ไม่ได้ดังใจ แต่ไม่มีทางเลือกและไม่อาจจะแสดงออกมาได้ ฯลฯ ความเครียดชนิดนี้จะค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างช้าๆโดยที่คุณไม่รู้สึกตัว แต่มันจะเป็นการฝังลึกลงในจิตใต้สำนึกแต่คุณก็ยังปฏิเสธว่าคุณไม่ได้เครียด

ทุกครั้งที่เกิดภาวะเครียด โดยเฉพาะความเครียดเรื้อรังนั้นมีผลโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย ทุกระบบจะทำงานหนักมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ กลไกลที่มีผลต่อร่างกายก็คือ เมื่อภายใต้จิตสำนึกของคุณเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า อะดรีนาลิน (Adrenaline) ผลของฮอร์โมนชนิดนี้กระทบและเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เมื่อร่างกายมีการหลั่งจะทำให้หลอดเลือดในร่างกายบีบตัว การไหลเวียนของเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ น้อยลง หัวใจต้องทำงานหนักบีบตัวสูงขึ้น ความดันเพิ่มขึ้น แต่หากมีภาวะไขมันในหลอดเลือดก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นหลอดเลือดอุดตัน ภาวะขาดเลือดในอวัยวะสำคัญ ๆ เช่น หัวใจ สมอง เป็นต้น การทำงานของอวัยวะต่างๆ ด้อยประสิทธิภาพลง เช่นหายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามาก ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ร่างกายไม่สามารถขับพิษได้ ตับและไตก็ต้องทำงานหนักขึ้น สมรรถภาพทางเพศลดลง ปวดเมื่อยตามร่างกาย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ ระบบภายในร่างกายต้องทำงานสูงเกิดการดึงอินซูลินในระบบเลือดมาใช้ กระตุ้นให้กินมาก เกิดโรคอ้วนได้ ฯลฯ

นอกจากนี้ หนึ่งในอาการ ทางร่างกายที่บ่งบอกได้ง่ายที่สุดคือ อาการของระบบกระดูกกล้ามเนื้อ เมื่อคุณเครียดฮอร์โมนที่เป็นตัวร้ายจะเริ่มคุกคาม ทำให้กล้ามเนื้อของคุณเกร็งตัวมากกว่าปกติ คุณจะรู้สึกเมื่อยล้าในร่างกายอย่างบอกไม่ถูก ไม่กระปรี้กระเปร่า ง่วงนอน หาวบ่อยๆ และกล้ามเนื้อส่วนที่มีปัญหามากที่สุดก็คือ กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ กล้ามเนื้อเหล่านื้จะเป็นมัดเล็กๆ เป็นริ้วๆ เกาะตามขอบของท้ายทอย เป็นทางผ่านของหลอดเลือดที่เลี้ยงสมอง และเลี้ยงอวัยวะต่างๆบนศีรษะ บริเวณนี้จะเตือนคุณได้มากที่สุด คุณจะปวดคอ ปวดบ่า บางรายร้าวไปที่หลัง รอบสะบัก หายใจแล้วเสียวในช่องอก มากขึ้นเรื่อยขนาดปวดร้าวขึ้นศีรษะ เหมือนเป็นไมเกรน เนื่องจากกล้ามเนื้อหดตัวมากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ตา,ปากอาจกระตุกด้วย

ฉะนั้นจึงควรดูแลให้ถูกทาง คือทำกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นดี กระดูกควรอยู่ในแนวที่ปกติ เส้นเลือด เส้นประสาท ระบบขับสารเสีย ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ทั้งนี้ไม่ใช่แค่การไปคลายที่คออย่างเดียวเพราะกล้ามเนื้อเกี่ยวพันกันอยู่ทุกส่วน ควรปรับสมดุลให้โครงสร้างร่างกาย เพราะถ้าปรับสภาวะให้โครงสร้างสมดุลแล้วระบบเลือด น้ำเหลือง เส้นประสาทจะไหลเวียนได้เต็มที่ มีผลให้ร่างกาย หลั่งฮอร์โมนชนิดดีที่จะทำงานตรงกันข้ามกับ adrenaline(อะดรีนาลีน) นั่นคือ Endorphine(เอนโดรฟีน) ซึ่งเป็นสารสุขให้กับร่างกาย หากต้องการดูแลด้วยตนเองก่อนก็อาจผ่อนคลายด้วยการนวดเบาๆ อบ/ประคบร้อน ไม่ควรทำแรงบริเวณคอเพราะมีเส้นเลือดและกล้ามเนื้อที่สำคัญมาก หากต้องการรักษาก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของระบบกระดูกกล้ามเนื้อจะดีกว่า ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเพราะจะส่งผลเสียมากขึ้น




การประเมินเทียบระดับการศึกษา


สวัสดีคะ..ผู้ติดตาม kanyapakpomanee.blogspot.com ทุกท่านคะ..วันนี้ผู้เขียนขอตอบเมล์ของน้องจุ๋มที่เขียนมาถามเกี่ยวกับการประเมินเทียบระดับของการศึกษานอกโรงเรียนว่าเป็นอย่างไร ?

การเทียบระดับการศึกษา
เป็นการนำผลการเรียน ความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษานอกระบบที่จัดเป็นหลักสูตรเฉพาะ หรือหลักสูตรฝึกอบรมตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและ การศึกษาตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพหรือจากประสบการณ์การทำงาน มาประเมินเพื่อเทียบระดับการศึกษาในระดับ ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด โดยมีขอบข่ายการประเมิน ๔ ด้าน คือ
๑. ความรู้พื้นฐาน เป็นความรู้ด้านวิชาสามัญ คือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
๒.ความรู้ด้านพัฒนาอาชีพเป็นความรู้ ความสามารถ และทักษะด้านการงานอาชีพ
๓.ความรู้ด้านพัฒนาคุณภาพชีวิต มีทักษะในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข มีทักษะในการเสริมสร้างสุขภาพทั้งทางกาย และจิตใจ ตลอดจนยึดหลักธรรมตามศาสนาที่ตนนับถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต
๔.ความรู้ด้านพัฒนาสังคมและชุมชน โดยการนำศักยภาพของตนเองมาช่วยส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม ทั้งด้านอาชีพ ชีวิตความเป็นอยู่รวมทั้งส่งเสริมให้สังคมและชุมชนมีความกระตือรือร้นในการศึกษาหาความรู้อย่างต่อเนื่อง
คุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมินเทียบระดับ
๑.มีคุณสมบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๘
๒.เป็นผู้พ้นเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ
๓.มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ประจำในเขตบริการเทียบระดับการศึกษาของสถานศึกษา
๔.ไม่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษา ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาในระบบ หรือการศึกษานอกระบบ
๕.มีพื้นฐานความรู้ต่ำกว่าระดับที่ขอเทียบ ๑ ระดับ เช่น จะขอเทียบระดับม.ปลาย ก็ต้องจบการศึกษาในระดับ ม.ต้นมาก่อน ไม่ใช่ จบประถมแล้วขอเทียบ ม.ปลาย เลย อย่างนี้ไม่ได้ค่ะ
ค่าใช้จ่าย
๑.ระดับประถมศึกษา ๕๐๐ บาท
๒.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๑,๐๐๐ บาท
๓.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๑,๕๐๐ บาท
สถานที่รับประเมินเทียบระดับการศึกษา
ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้เป็นสถานศึกษาเทียบระดับการศึกษา ขณะนี้มี ๒๑ แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูลปีการศึกษา ๒๕๔๙) ในส่วนจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดประเมินคือ จังหวัดเพชรบูรณ์ (ใกล้ที่สุด)
ขั้นตอนการประเมินเทียบระดับการศึกษา
๑.สมัคร
ยื่นคำร้อง ตรวจสอบหลักฐาน ลงทะเบียนประเมิน
๒.ชี้แจง แนะแนว วิธีการและขั้นตอนการประเมิน
ขั้นตอนการประเมิน วิธีการประเมิน ระยะเวลาการประเมิน การจัดทำแฟ้มสะสมงาน จัดทำโครงการ
๓.ดำเนินการประเมิน
แบบทดสอบ ประเมินการปฎิบัติการ ประเมินแฟ้มสะสมงาน / โครงการ หลักฐาน/ผลงาน สัมภาษณ์
วิธีการเหมือนกันทั้ง ๓ ระดับ
๔.ตัดสินผลการประเมิน
ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน
กรณีผ่าน ก็เสนอคณะกรรมการกลาง เข้าค่ายพัฒนาศักยภาพผู้ประเมินเทียบระดับ อนุมัติการประเมินและออกหลักฐานการศึกษา
กรณีไม่ผ่าน ก็ อบรมเรียนรู้เพิ่มเติม สมัครลงทะเบียนใหม่และก็เป็นไปตามขั้นตอนที่เล่ามาแล้วข้างต้น
ที่เล่ามาเป็นเพียงเนื้อหาคร่าวๆ ให้พอมองเห็นกระบวนการ ขั้นตอนของการเทียบระดับคะ.. ดูเหมือนยุ่งยากแต่ไม่ยากอย่างที่คิดหรอกนะคะ... ถ้ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนแบบนี้ก็จะประชาสัมพันธ์ให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง คะ...ตอนนี้มีวิธีการเรียนการสอนที่กลับมาอีกครั้ง นั่นก็คือโรงเรียนผู้ใหญ่ค่ะ....จังหวัดพิษณุโลกก็เปิดสอนที่โรงเรียนพุทธชินราชพิทยา อ.เมืองพิษณุโลกคะ....



ปัญหาเด็กติดคอมฯ


ปัจจุบันคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของคนยุค ไอที มาก จนแทบจะกล่าวได้ว่า เป็นปัจจัยที่ หก ได้เลยโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น วัยเรียนทั้งหลายซึ่งข้อดีก็มี ข้อเสียก็มีในทำนองเดียวกัน มีข่าวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มากมายในทำนองสื่อที่เข้าถึงได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เป็นทำนอง ร้ายมากกว่าดี ดังนั้นหลายๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามหามาตรการ ทุกวิถีทางที่จะป้องกัน ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า ทำไม เด็ก ส่วนใหญ่ติดคอมฯ จนเป็นปัญหาให้ผู้ใหญ่ที่คิดคอมฯขึ้นมาเพื่อประโยชน์อะไรก็ตาม...ต้องมาแก้ปัญหาร่วมกัน...
ลักษณะของเด็กติดเกม
1.ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เล่นในเวลาที่กำหนด ทำให้ใช้เวลาในการเล่นเกมนานติดต่อกันหลายๆ ชั่วโมง หรือเล่นนานขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มเป็นหลายชั่วโมงต่อวัน บางคนเล่นข้ามวันข้ามคืน
2.หากถูกบังคับให้เลิกหรือหยุดเล่นจะต่อต้าน หรือมีปฏิกิริยาหงุดหงิดไม่พอใจอย่างรุนแรง บางคนถึงขั้นก้าวร้าว อาละวาด
3.การเล่นของเด็กมีผลกระทบต่อหน้าที่ความรับผิดชอบของเด็ก เช่น เด็กไม่สนใจการเรียน ไม่สนใจที่จะทำการบ้าน หนีเรียนหรือแอบหนีออกจากบ้านเพื่อจะไปเล่นเกม การเรียนตกลงอย่างมาก ละเลยการเข้าสังคม หรือทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว
4.บางรายอาจมีปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น โกหก ลักขโมย เพื่อนำเงินไปเล่นเกม ดื้อต่อต้านแยกตัว เก็บตัว ฯลฯสาเหตุของการติดเกม
สาเหตุที่ทำให้เด็กติดเกม
มิได้มีเพียงสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง แต่การติดเกมเป็นเพียงผลลัพธ์ของหลายๆ ปัจจัยที่ผสมผสานและเกี่ยวข้องกันอยู่ สาเหตุหลักๆ ได้แก่
1.การเลี้ยงดูในครอบครัว มักจะพบเด็กติดเกมได้บ่อยในครอบครัวที่เลี้ยงเด็กโดยไม่เคยให้เด็กมีวินัยในตนเอง ขาดกฎระเบียบ กติกาในบ้าน ตามใจเด็ก หรือมักจะใจอ่อนไม่ทำโทษเมื่อเด็กกระทำผิด บางครอบครัวมีลักษณะที่สมาชิกในครอบครัวต่างคนต่างอยู่ ไม่มีกิจกรรมที่สนุกสนานให้เด็กทำ หรือไม่มีกิจกรรมที่สมาชิกทุกคนทำร่วมกัน ทำให้เด็กเกิดความเหงา ความเบื่อหน่าย เด็กจึงต้องหากิจกรรมอื่นทำเพื่อให้ตนเองสนุก ซึ่งก็หนีไม่พ้นการเล่นเกม พ่อแม่อาจไม่มีเวลาควบคุมเด็ก หรือมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องจำกัดเวลาในการเล่นเกมของเด็ก ในช่วงแรกพ่อแม่อาจรู้สึกพอใจที่เห็นเด็กเล่นเกมเงียบๆ คนเดียวได้โดยไม่มารบกวนตน ทำให้ตนมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น พูดง่ายๆ คือใช้เกมเสมือนเป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กแทนตน
2.สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมยุคไฮเทคที่มีเครื่องมือที่มีพลังในการเร้าความตื่นเต้นให้เกิดขึ้นในตัวเด็กอย่างมหาศาล สังคมวัตถุนิยม สังคมที่ขาดแคลนกิจกรรมหรือสถานที่ที่เด็กจะได้ใช้ประโยชน์หรือเรียนรู้โดยได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินไปด้วย เหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้เด็กหันไปใช้การเล่นเกมเป็นทางออก
3.ปัจจัยในตัวเด็กเอง เด็กบางกลุ่มมีความเสี่ยงต่อการติดเกมกว่าเด็กทั่วไป เช่น เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) เด็กที่มีปัญหาอารมณ์ ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล เด็กที่ขาดทักษะทางสังคม เข้ากับเพื่อนไม่ได้ เด็กที่มีปัญหาการเรียน เด็กที่มีความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองต่ำ (low sell-esteen) เป็นต้น
วิธีป้องกัน
1.คุยกับเด็กเพื่อกำหนดกติกากันล่วงหน้า ก่อนจะซื้อเกม หรืออนุญาตให้เล่นว่า เด็กสามารถเล่นเกมได้ ในวันใดบ้าง วันใดเล่นไม่ได้ เล่นได้กี่ครั้งและไม่เกินกี่ชั่วโมง ตั้งแต่เวลาใดถึงเวลาใด ก่อนจะเล่นต้องรับผิดชอบทำอะไรให้เสร็จเรียบร้อยก่อนบ้าง หากเด็กไม่รักษากติกา เช่น เล่นเกินเวลา ไม่ทำการบ้านให้เสร็จ เด็กจะถูกทำโทษอย่างไร (แนะนำให้ใช้วิธีเกม หรือตัดสิทธิ์การเล่นเป็นเวลาระยะหนึ่งหากเด็กไม่ทำตามกติกาที่ตกลง)
2.วางตำแหน่งคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่นเกมในสถานที่ที่เป็นที่โล่ง มีคนเดินผ่านไปมาบ่อยๆ ไม่ควรตั้งไว้ในห้องนอนหรือห้องที่มิดชิด เพื่อให้ผู้ปกครองจะได้ติดตามเฝ้าดูได้ เป็นการป้องกันมิให้เด็กเก็บตัว แอบเล่นคนเดียวในห้อง หรือแอบเล่นทั้งคืน
3.วางนาฬิกาขนาดใหญ่ไว้หน้าเครื่อง หรือในตำแหน่งที่เด็กสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
4.ให้คำชมแก่เด็กเมื่อเด็กสามารถรักษาเวลาการเล่น ควบคุมตัวเองไม่ให้เล่นเลยเวลาที่กำหนดได้
5.เอาจริง และเด็ดขาดหากเด็กไม่รักษากติกา เช่น ริบเกมโดยไม่ใจอ่อน ถอดสายโมเด็มออก ฯลฯ
6.ส่งเสริม จัดหากิจกรรมที่สนุกสนานอย่างอื่นๆ (ที่สนุกพอๆ กัน หรือมากกว่าการเล่นเกม) ให้เด็กทำ หรือมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันในครอบครัว
7.หลีกเลี่ยงการใช้เกมเป็นเสมือนพี่เลี้ยงเด็ก เพื่อที่พ่อแม่จะได้มีเวลาส่วนตัวไปทำอย่างอื่น
8.สอนให้เด็กรู้จักการแบ่งเวลา รู้จักใช้เวลาอย่างเหมาะสม
วิธีแก้ไข
1.หากในบ้านยังไม่มีกฎหรือกติกาการเล่นเกม จำเป็นที่จะต้องพูดคุยกับเด็กและให้เด็กเข้ามามีส่วนร่วมในการวางกติกา กำหนดเวลาการเล่น
2.มีเวลาอยู่กับเด็กให้มากขึ้น พาออกนอกบ้านเพื่อไปทำกิจกรรมที่เด็กชอบ (ยกเว้นการไปเล่นเกมนอกบ้าน) อย่าลืมว่าเด็กส่วนหนึ่งติดเกมเพราะความเหงา เบื่อ ไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ทำ
3.รักษาสัมพันธภาพระหว่างกันให้ดี หลีกเลี่ยงการบ่น ตำหนิ ใช้อารมณ์ หรือถ้อยคำรุนแรง แสดงความเห็นใจ เข้าใจว่าเด็กไม่สามารถควบคุมตัวเอง หรือตัดขาดจากเกมได้จริงๆ
4.ผู้ปกครองควรร่วมมือกันในการแก้ปัญหา โดยใช้กฎเดียวกัน อย่าปัดให้เป็นภาระหรือความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง
5.ฟอร์มเครือข่าย ผู้ปกครองที่มีเด็กติดเกมเหมือนๆ กันหลายๆ ครอบครัว แล้วผลัดกันนำเด็กทำกิจกรรมหลังเลิกเรียน หรือในวันหยุด เช่น การเข้าค่าย เรียนนอกสถานที่ วอล์กแรลลี่ จัดตั้งเป็นกลุ่มย่อยๆ ชมรมต่างๆ เช่น Sport club, adventure club เป็นต้น
6.ในรายที่ติดเกมจริงๆ และเด็กต่อต้านรุนแรงที่จะเลิก ในระยะแรกพ่อแม่ควรร่วมเล่นเกมกับเด็ก (แต่อย่าเผลอติดเกมเองเสียล่ะ) ทำความรู้จักกับเกมที่เด็กชอบเล่น หากเห็นว่าเป็นเกมที่ไม่เหมาะสม หรือเกมที่ใช้ความรุนแรง พยายามเบี่ยงเบนให้เด็กมาสนใจเกมอื่นที่พอจะมีส่วนดี ดึงเอาส่วนดีของเกมมาสอนเด็ก เช่น เกมสร้างเมือง Strategic games ต่างๆ เกมที่มีบทบาทสมมุติเพื่อฝึก Social skills เป็นต้น เมื่อสัมพันธภาพกับเด็กเริ่มดีขึ้น พ่อแม่จึงค่อยๆ ดึงเด็กให้มาสนใจในกิจกรรมอื่นๆ ทีละเล็กละน้อย
7.หากทำทุกวิธีข้างต้นแล้วไม่ได้ผล พ่อแม่ควรพาเด็กมาพบจิตแพทย์เด็ก เนื่องจากเด็กอาจจะป่วย มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่ลึกๆ เช่น ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล สมาธิสั้น ฯลฯ เพื่อรับการวินิจฉัยและบำบัดรักษาต่อไป

เกมออนไลน์ และเกมคอมพิวเตอร์ ดูจะเป็นตัวสร้างปัญหาและความปวดหัวให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองยุคนี้อย่างมาก เพราะเด็กๆ มักจะเล่นจนเลยเถิด ลืมวันลืมคืน แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้เด็กติดเกมได้บ้าง ลองมาฟังคำแนะนำจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นกันดีกว่า แพทย์หญิงอัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล จิตแพทย์ เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวในงานเผยแพร่ความรู้เรื่อง “เด็กติดเกม” ว่า ปัจจุบันมีเกมหลายประเภท ออกแบบให้ผู้เล่นเพลิดเพลิน เกมที่เด็กผู้ชายนิยมเล่นมากคือเกมต่อสู้ ผจญภัย และแข่งกีฬา ส่วนเกมที่เด็กหญิงนิยม คือเกมกีฬา และเกมแฟชั่น ในยุคไอทีเช่นนี้ การปิดกั้นไม่ให้เด็กใช้ อินเตอร์เน็ต หรือเล่นเกมออนไลน์เลย อาจไม่ใช่ทาง ออกที่ดี
พ่อแม่ ผู้ปกครองควรหาวิธีป้องกันไว้ก่อน ดังต่อไปนี้
1. ก่อนซื้อเกมหรือคอมพิวเตอร์เข้าบ้าน ควรคุยกับเด็กเพื่อกำหนดกติกาการเล่นเกมกันล่วงหน้าอย่างชัดเจนเสียก่อน ว่าจะให้เล่นในวันเวลาใด ครั้งละกี่ชั่วโมงหรือต้องทำอะไรให้เรียบร้อยก่อน คุณหมอแนะนำให้เขียนกฎ กติกา มารยาทไว้ในที่เห็นชัด เช่น หน้าคอมพิวเตอร์ และมีสมุดลงบันทึกการใช้งานคอมพิวเตอร์
2. ควรวางคอมพิวเตอร์ไว้เป็นสมบัติส่วนรวม มีคนเดินผ่านไปมาบ่อย ไม่วางในห้องนอนเด็ก
3. วางนาฬิกาไว้หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่นเกมในจุดที่เด็กมองเห็นเวลาได้ชัด
4. ควรชมเมื่อเด็กรักษาและควบคุมเวลาในการเล่นเกมได้
5. เอาจริงเอาจังและเด็ดขาดเมื่อเด็กไม่รักษากติกา ไม่ใจอ่อน แม้ว่าเด็กจะโวยวาย
6. สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก สร้างบรรยากาศในครอบครัวให้อบอุ่น น่าอยู่
7. ส่งเสริมให้เด็กมีกิจกรรมอื่นที่สนุกสนานและเด็กสนใจแทนการเล่นเกม
8. ฝึกระเบียบวินัย สอนให้เด็กรู้จักแบ่งเวลา
9. พ่อแม่ควรมีความรู้เกี่ยวกับเกม แยกแยะประเภทของเกม เลือกใช้เกมที่มีประโยชน์ ควรพูดคุยและให้ความรู้สอดแทรกให้ลูกเข้าใจและยอมรับได้ว่าการเล่นเกมที่ดีคืออะไร ไม่ส่งเสริมให้เล่นเพราะอะไร