การจัดการศึกษาสายอาชีพ (ปวช.)

การจัดการศึกษาสายอาชีพ(ปวช।)สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียนได้รับการอนุมัติให้ใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช ๒๕๔๕ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๔๖ ) ของสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา โดยจัดการศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่นอกระบบโรงเรียนและเป็นผู้มีงานทำในสถานประกอบการหรือสถานประกอบวิสาหกิจหรือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน มีพื้นฐานความรู้ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยเปิดโอกาสให้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานมาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา
๑.โครงสร้างหลักสูตร
หมวดวิชาสามัญ ไม่น้อยกว่า ๒๖ หน่วยกิต
หมวดวิชาชีพ ไม่น้อยกว่า ๖๖ หน่วยกิต
หมวดวิชาเลือกเสรี ไม่น้อยกว่า ๑๐ หน่วยกิต
ฝึกงานไม่น้อยกว่า ๑ ภาคเรียน
กิจกรรมเสริมหลักสูตร ไม่น้อยกว่า ๒๐๐ ชั่วโมง
๒. วิธีเรียน คือ การพบกลุ่ม
๓. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
๓.๑ การเรียนรู้ด้วยตนเอง
๓.๒ การพบกลุ่ม
๓.๓ การสอนเสริม
๓.๔ กิจกรรมเสริมหลักสูตร
๓.๕ การจัดทำโครงการ
๔. การรับสมัคร
นักศึกษาสามารถลงทะเบียนเรียนรายวิชาตามวัน เวลา และวิธีการที่สถานศึกษากำหนด ดังนี้
ภาคเรียนที่ ๑ วันที่ ๑-๓๐ เมษายน ของทุกปี
ภาคเรียนที่ ๒ วันที่ ๑-๓๑ ตุลาคม ของทุกปี
โดยนักศึกษาสามารถลงทะเบียนในแต่ละภาคเรียนได้ไม่เกิน ๑๘ หน่วยกิต ทั้นนี้ไม่นับรวมรายวิชาที่เทียบโอนผลการเรียน
๕. ระยะเวลาการศึกษา ๖ ภาคเรียน หรือน้อยกว่า หากมีการเทียบโอนผลการเรียน
๖. การจบหลักสูตร
ผู้เรียนจะจบหลักสูตรได้ต้องผ่านเกณฑ์ดังนี้
๑.ลงทะเบียนเรียนและสอบผ่านรายวิชาต่างๆตามโครงสร้างหลักสูตรของแต่ละสาขาอาชีพ
๒. ได้จำนวนหน่วยกิตสะสมตามโครงสร้างของหลักสูตรแต่ละประเภทวิชาและสาขาวิชา
๓. ได้ค่าคะแนนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า ๒.๐๐
๔. ต้องผ่านกระบวนการประเมินกิจกรรมเสริมหลักสูตร ๒๐๐ ชั่วโมง
๕. ต้องเข้ารับการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ
๗. วุฒิการศึกษาที่ได้รับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ

กศน.กับนโยบายเรียนฟรี ๑๕ ปีอย่างมีคุณภาพ


รัฐบาลมีนโยบายที่จะสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ๑๕ ปีให้แก่นักเรียน นักศึกษา ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งนอกจากจะจัดงบประมาณเพิ่มเติม เป็นค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าชุดนักเรียน และค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนแล้วนั้น ในส่วนของการศึกษานอกโรงเรียน ได้จัดสรรให้เป็นค่าหนังสือเรียน และค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยกำหนดหลักการในการดำเนินงาน ดังนี้
๑.สถานศึกษาเป็นผู้ดำเนินการหลัก
๒.เน้นการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา ครู และนักศึกษา
๓.เน้นการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
๔।เน้นการปฎิบัติงานให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของทางราชการ

หมวดค่าเล่าเรียน
ระดับประถมศึกษา คนละ ๑,๑๐๐ บาท ต่อปี
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คนละ ๒,๓๐๐ บาท ต่อปี
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คนละ ๒,๓๐๐ บาท ต่อปี
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ คนละ ๔,๒๔๐ บาท ต่อปี

หมวดหนังสือเรียน
ระดับประถมศึกษา คนละ ๒๙๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คนละ ๓๖๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คนละ ๔๐๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับประการศนียบัตรวิชาชีพ คนละ ๕๐๐ บาท ต่อภาคเรียน

หมวดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
ระดับประถมศึกษา คนละ ๑๔๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คนละ ๒๙๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คนละ ๒๙๐ บาท ต่อภาคเรียน
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ คนละ ๕๓๐ บาท ต่อภาคเรียน

ต้อหินกับคอมพิวเตอร์


ต้อหินกับคอมพิวเตอร์ ยิ่งมีอายุมากก็มีโอกาสเป็นมากกว่าคนอายุน้อย ส่วนมากพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ศ।พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต อธิบายการเป็นต้อหินว่า ต้อหินเป็นโรคที่มีการทำลายประสาทตาอย่างช้าๆ โดยผู้ที่เป็นมักมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือความดันในตาสูง ทำให้ลูกตาแข็งกว่าปกติอันเป็นที่มาของชื่อที่ว่า ต้อหิน นอกจากดวงตาจะแข็งเหมือนหินแล้วยังเป็นโรคที่การรักษาค่อนข้างจะยุ่งยากหรือค่อนข้างหินตามภาษาชาวบ้าน หากรักษาไม่ได้ตาจะบอดเกือบทุกราย ซ้ำบางรายต้อหินบางชนิดนอกจากทำให้ตาบอดแล้วยังเจ็บปวดอีก คือแม้ตาไม่เห็นแล้วเจ้าตัวยังมีอาการเจ็บปวด ทุกข์ทรมานจนบางคนยอมให้แพทย์เอาตาออกเพื่อระงับความเจ็บปวด

ต้อหินมีด้วยกัน 3 ชนิด
ชนิดแรกเป็นต้อหินโดยไม่ทราบสาเหตุพบมากที่สุด
ชนิดที่สองเป็นต้อหินเนื่องจากมีโรคอื่นอยู่ก่อนแล้วเกิดแทรกซ้อน ด้วยโรคต้อหินตามหลังพบรองลงมา และชนิดที่สามพบน้อยที่สุดเป็นต้อหินในเด็กเป็นมาแต่กำเนิด คือเป็นโรคต้อหินตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลยทีเดียว เกิดเนื่องจากการกำเนิดลูกตาระหว่างที่เป็นตัวอ่อนในครรภ์มีความผิดปกติ ทำให้น้ำภายในลูกตาไหลเวียนไม่สะดวก มีน้ำคั่งในลูกตาทำให้ความดันตาสูงขึ้น
ต้อหินที่สำคัญเป็นต้อหินชนิดแรกที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเหตุใดจึงเกิดกับคนๆ นั้นๆ ในขณะที่ผู้อื่นไม่เป็นกัน ต้อหินชนิดนี้เป็นโรคสำคัญที่ทำให้ประชากรของโลกตาบอด รองลงมาจากต้อกระจก ต้อหินชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุนี้ยังแบ่งออกได้ 2 ลักษณะตามอาการแสดงที่มาพบแพทย์ เรียกกันว่า ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรัง และ ต้อหินมุมปิดซึ่งมักจะเรียกกันว่าต้อหินเฉียบพลัน สำหรับต้อหินเฉียบพลันนั้นคนที่เป็นมักมีอาการอย่างกะทันหันโดยมีอาการปวดตา ปวดศีรษะ ตาแดง และตามัวอย่างฉับพลัน จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการมาพบแพทย์นักเนื่องจากมักจะทนไม่ไหวกับอาการเจ็บปวด ส่วนต้อหินเรื้อรังค่อนข้างจะเป็นปัญหาในบ้านเรา เพราะว่าเป็นต้อหินที่ค่อยเป็นค่อยไปไม่เจ็บปวด อีกทั้งตาไม่แดงแต่สายตาจะมัวลงอย่างช้าๆ กว่าเจ้าตัวจะรู้ก็เกือบจะบอดแล้วเป็นต้อหินที่สัมพันธ์กับการใช้คอมพิวเตอร์ที่เป็นข่าวอยู่ขณะนี้
ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรังแม้เราไม่รู้สาเหตุของการเกิดอย่างแท้จริง แต่ก็ได้พยายามศึกษาถึงลักษณะของโรค พยายามแก้ไขไม่ให้ผู้ที่เป็นต้อตาบอด สิ่งที่เราทราบก็คือต้อหินชนิดนี้มักพบในคนสูงอายุ มักพบในผู้ที่เป็นเบาหวาน ผู้ที่เป็นโรคของต่อมไทรอยด์ ผู้ที่มีประวัติในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ ผู้ที่นอนกรนมากจนหยุดการหายใจ (sleep apnea) ความดันโลหิตสูงและผู้ที่มีสายตาสั้น จนบางคนอาจกล่าวว่ายีนส์ของการถ่ายทอดโรคทางกรรมพันธุ์ของต้อหิน เบาหวาน และสายตาสั้นคงจะอยู่ชิดกันมาก จึงพบโรคทั้ง 3 ในคนเดียวกันเสมอๆ

ต้อหินมุมเปิดหรือต้อหินเรื้อรังนี้สัมพันธ์กับการใช้คอมพิวเตอร์จากการศึกษาของแพทย์ชาวญี่ปุ่นอย่างไร ตามที่กล่าวแล้วว่าต้อหินชนิดนี้พบในคนสูงอายุ การศึกษานี้ก็ตรวจเฉพาะคนสูงอายุเช่นเดียวกัน มีการศึกษาของหลายประเทศตามอุบัติการณ์ของต้อหินชนิดนี้ได้ 1-2 % ในประชากรที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป การศึกษานี้พบต้อหินได้ประมาณ 1-6% อยู่ในตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน ชาวญี่ปุ่นมีอุบัติการณ์สายตาสั้นค่อนข้างมากจึงน่าเชื่อว่าชาวญี่ปุ่นที่นำมาศึกษาน่าจะมีสายตาสั้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงอันหนึ่งของการเป็นต้อหิน ส่วนอีกประการหนึ่งการที่สายตาสั้นแม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร แต่เชื่อกันว่าผู้ที่ใช้สายตาเพ่งมองใกล้มาก พวกหนอนหนังสือ ผู้ที่มีไอคิวสูงมักจะมีสายตาสั้น ทั้งหมดจึงอาจเกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้กันมานานแล้ว การศึกษาของจักษุแพทย์ชาวญี่ปุ่นนี้จึงเน้นย้ำให้ประชาชนระวังถึงโอกาสการเป็นต้อหินซึ่งอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์โดยตรงที่ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดในปัจจุบัน ภาษิตโบราณว่าถ้าจิ้งจกทักเรายังต้องระวัง ในกรณีนี้แนะนำให้ใช้คอมพิวเตอร์ในระยะที่เหมาะสมแม้จะไม่ได้ป้องกันโรคต้อหินแต่ก็ทำให้ไม่มีภาวะสายตาเมื่อยล้า ตาแห้งจากการใช้คอมพิวเตอร์มากไป

อย่างไรก็ตามเราคงไม่ต้องตื่นกลัวการเป็นต้อหินจากการใช้คอมพิวเตอร์ตามข่าวนี้ แต่ก็ไม่ควรเพิกเฉยกับโรคนี้ ด้วยอุบัติการณ์ที่พบได้ 1-2% ในคนสูงอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยไม่มีอาการอะไรนำมาก่อน ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปจึงควรได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อที่ว่าหากพบโรคนี้ในระยะแรก การรักษาในระยะแรกจะทำให้คุณมีโอกาสสูญเสียสายตาน้อยที่สุด และยิ่งถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่น เป็นโรคเบาหวาน มีความดันโลหิตสูง มีโรคหลอดเลือด มีภาวะสายตาสั้น มีประวัติโรคต้อหินในครอบครัว คุณควรต้องเฝ้าระวังโดยการตรวจหาภาวะต้อหินอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์คงหลีกเลี่ยงการใช้ไม่ได้ ในโลกของข้อมูลข่าวสารปัจจุบันควรใช้คอมพิวเตอร์ครั้งละ 2 ชั่วโมง พักสายตาไปทำงานอื่น 15 นาทีแล้วกลับมาทำใหม่ การจัดระบบของโต๊ะและจอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมทำให้คุณสบายตา ไม่เมื่อยล้าและอาจจะชะลอมิให้คุณมีสายตาที่สั้นเพิ่มขึ้นเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงของการเป็นต้อหินก็เป็นได้

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

ภัยเงียบที่มาจากความเครียด

ความเครียด.......

เป็นสาเหตุของกลุ่มอาการต่างๆ ที่นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บมากมาย
ในยุคที่เศรษฐกิจประสบกับภาวะวิกฤตแบบนี้ ความเครียด ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนแตกต่างกันไปตามสภาพหน้าที่การงานและภาวะทางสังคม หลายคนไม่ทราบว่าตนเองมีความเครียดฝังอยู่ลึกๆ ในตัว จนกลายไปสู่ภัยเงียบที่มาถึงตัวเองได้...โดยไม่รู้ตัว

เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับโครงสร้างร่างกาย จากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ (ARIYA WELLNESS CENTER) กล่าวว่า ความเครียดแบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่

1. Acute stress (เอคิว สเทรท) เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในทันทีและร่างกายก็จะตอบสนองโดยการแสดงออกมาทันที ซึ่งความเครียดนี้ จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เกิดผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจไม่นาน แต่ถ้าบ่อยก็จะส่งผลเป็นความเครียดแบบเรื้อรังได้

2. Chronic stress (โครนิค สเทรท) เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กับภาวะร่างกายและจิตใจทุกวันๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่รุมเร้าคนในสังคมปัจจุบัน ความเครียดจากปัญหาจากการทำงานที่เป็นภาวะที่ไม่อาจเลี่ยงได้ เช่น ความเบื่อหน่ายจากการทำงาน จากเพื่อนร่วมงาน จากเจ้านายที่ไม่ได้ดังใจ แต่ไม่มีทางเลือกและไม่อาจจะแสดงออกมาได้ ฯลฯ ความเครียดชนิดนี้จะค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างช้าๆโดยที่คุณไม่รู้สึกตัว แต่มันจะเป็นการฝังลึกลงในจิตใต้สำนึกแต่คุณก็ยังปฏิเสธว่าคุณไม่ได้เครียด

ทุกครั้งที่เกิดภาวะเครียด โดยเฉพาะความเครียดเรื้อรังนั้นมีผลโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย ทุกระบบจะทำงานหนักมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ กลไกลที่มีผลต่อร่างกายก็คือ เมื่อภายใต้จิตสำนึกของคุณเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า อะดรีนาลิน (Adrenaline) ผลของฮอร์โมนชนิดนี้กระทบและเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เมื่อร่างกายมีการหลั่งจะทำให้หลอดเลือดในร่างกายบีบตัว การไหลเวียนของเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ น้อยลง หัวใจต้องทำงานหนักบีบตัวสูงขึ้น ความดันเพิ่มขึ้น แต่หากมีภาวะไขมันในหลอดเลือดก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นหลอดเลือดอุดตัน ภาวะขาดเลือดในอวัยวะสำคัญ ๆ เช่น หัวใจ สมอง เป็นต้น การทำงานของอวัยวะต่างๆ ด้อยประสิทธิภาพลง เช่นหายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามาก ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ร่างกายไม่สามารถขับพิษได้ ตับและไตก็ต้องทำงานหนักขึ้น สมรรถภาพทางเพศลดลง ปวดเมื่อยตามร่างกาย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ ระบบภายในร่างกายต้องทำงานสูงเกิดการดึงอินซูลินในระบบเลือดมาใช้ กระตุ้นให้กินมาก เกิดโรคอ้วนได้ ฯลฯ

นอกจากนี้ หนึ่งในอาการ ทางร่างกายที่บ่งบอกได้ง่ายที่สุดคือ อาการของระบบกระดูกกล้ามเนื้อ เมื่อคุณเครียดฮอร์โมนที่เป็นตัวร้ายจะเริ่มคุกคาม ทำให้กล้ามเนื้อของคุณเกร็งตัวมากกว่าปกติ คุณจะรู้สึกเมื่อยล้าในร่างกายอย่างบอกไม่ถูก ไม่กระปรี้กระเปร่า ง่วงนอน หาวบ่อยๆ และกล้ามเนื้อส่วนที่มีปัญหามากที่สุดก็คือ กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ กล้ามเนื้อเหล่านื้จะเป็นมัดเล็กๆ เป็นริ้วๆ เกาะตามขอบของท้ายทอย เป็นทางผ่านของหลอดเลือดที่เลี้ยงสมอง และเลี้ยงอวัยวะต่างๆบนศีรษะ บริเวณนี้จะเตือนคุณได้มากที่สุด คุณจะปวดคอ ปวดบ่า บางรายร้าวไปที่หลัง รอบสะบัก หายใจแล้วเสียวในช่องอก มากขึ้นเรื่อยขนาดปวดร้าวขึ้นศีรษะ เหมือนเป็นไมเกรน เนื่องจากกล้ามเนื้อหดตัวมากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ตา,ปากอาจกระตุกด้วย

ฉะนั้นจึงควรดูแลให้ถูกทาง คือทำกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นดี กระดูกควรอยู่ในแนวที่ปกติ เส้นเลือด เส้นประสาท ระบบขับสารเสีย ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ทั้งนี้ไม่ใช่แค่การไปคลายที่คออย่างเดียวเพราะกล้ามเนื้อเกี่ยวพันกันอยู่ทุกส่วน ควรปรับสมดุลให้โครงสร้างร่างกาย เพราะถ้าปรับสภาวะให้โครงสร้างสมดุลแล้วระบบเลือด น้ำเหลือง เส้นประสาทจะไหลเวียนได้เต็มที่ มีผลให้ร่างกาย หลั่งฮอร์โมนชนิดดีที่จะทำงานตรงกันข้ามกับ adrenaline(อะดรีนาลีน) นั่นคือ Endorphine(เอนโดรฟีน) ซึ่งเป็นสารสุขให้กับร่างกาย หากต้องการดูแลด้วยตนเองก่อนก็อาจผ่อนคลายด้วยการนวดเบาๆ อบ/ประคบร้อน ไม่ควรทำแรงบริเวณคอเพราะมีเส้นเลือดและกล้ามเนื้อที่สำคัญมาก หากต้องการรักษาก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของระบบกระดูกกล้ามเนื้อจะดีกว่า ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเพราะจะส่งผลเสียมากขึ้น




การประเมินเทียบระดับการศึกษา


สวัสดีคะ..ผู้ติดตาม kanyapakpomanee.blogspot.com ทุกท่านคะ..วันนี้ผู้เขียนขอตอบเมล์ของน้องจุ๋มที่เขียนมาถามเกี่ยวกับการประเมินเทียบระดับของการศึกษานอกโรงเรียนว่าเป็นอย่างไร ?

การเทียบระดับการศึกษา
เป็นการนำผลการเรียน ความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษานอกระบบที่จัดเป็นหลักสูตรเฉพาะ หรือหลักสูตรฝึกอบรมตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและ การศึกษาตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพหรือจากประสบการณ์การทำงาน มาประเมินเพื่อเทียบระดับการศึกษาในระดับ ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด โดยมีขอบข่ายการประเมิน ๔ ด้าน คือ
๑. ความรู้พื้นฐาน เป็นความรู้ด้านวิชาสามัญ คือภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
๒.ความรู้ด้านพัฒนาอาชีพเป็นความรู้ ความสามารถ และทักษะด้านการงานอาชีพ
๓.ความรู้ด้านพัฒนาคุณภาพชีวิต มีทักษะในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข มีทักษะในการเสริมสร้างสุขภาพทั้งทางกาย และจิตใจ ตลอดจนยึดหลักธรรมตามศาสนาที่ตนนับถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต
๔.ความรู้ด้านพัฒนาสังคมและชุมชน โดยการนำศักยภาพของตนเองมาช่วยส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม ทั้งด้านอาชีพ ชีวิตความเป็นอยู่รวมทั้งส่งเสริมให้สังคมและชุมชนมีความกระตือรือร้นในการศึกษาหาความรู้อย่างต่อเนื่อง
คุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมินเทียบระดับ
๑.มีคุณสมบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๘
๒.เป็นผู้พ้นเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ
๓.มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ประจำในเขตบริการเทียบระดับการศึกษาของสถานศึกษา
๔.ไม่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษา ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาในระบบ หรือการศึกษานอกระบบ
๕.มีพื้นฐานความรู้ต่ำกว่าระดับที่ขอเทียบ ๑ ระดับ เช่น จะขอเทียบระดับม.ปลาย ก็ต้องจบการศึกษาในระดับ ม.ต้นมาก่อน ไม่ใช่ จบประถมแล้วขอเทียบ ม.ปลาย เลย อย่างนี้ไม่ได้ค่ะ
ค่าใช้จ่าย
๑.ระดับประถมศึกษา ๕๐๐ บาท
๒.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๑,๐๐๐ บาท
๓.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๑,๕๐๐ บาท
สถานที่รับประเมินเทียบระดับการศึกษา
ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้เป็นสถานศึกษาเทียบระดับการศึกษา ขณะนี้มี ๒๑ แห่งทั่วประเทศ (ข้อมูลปีการศึกษา ๒๕๔๙) ในส่วนจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดประเมินคือ จังหวัดเพชรบูรณ์ (ใกล้ที่สุด)
ขั้นตอนการประเมินเทียบระดับการศึกษา
๑.สมัคร
ยื่นคำร้อง ตรวจสอบหลักฐาน ลงทะเบียนประเมิน
๒.ชี้แจง แนะแนว วิธีการและขั้นตอนการประเมิน
ขั้นตอนการประเมิน วิธีการประเมิน ระยะเวลาการประเมิน การจัดทำแฟ้มสะสมงาน จัดทำโครงการ
๓.ดำเนินการประเมิน
แบบทดสอบ ประเมินการปฎิบัติการ ประเมินแฟ้มสะสมงาน / โครงการ หลักฐาน/ผลงาน สัมภาษณ์
วิธีการเหมือนกันทั้ง ๓ ระดับ
๔.ตัดสินผลการประเมิน
ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน
กรณีผ่าน ก็เสนอคณะกรรมการกลาง เข้าค่ายพัฒนาศักยภาพผู้ประเมินเทียบระดับ อนุมัติการประเมินและออกหลักฐานการศึกษา
กรณีไม่ผ่าน ก็ อบรมเรียนรู้เพิ่มเติม สมัครลงทะเบียนใหม่และก็เป็นไปตามขั้นตอนที่เล่ามาแล้วข้างต้น
ที่เล่ามาเป็นเพียงเนื้อหาคร่าวๆ ให้พอมองเห็นกระบวนการ ขั้นตอนของการเทียบระดับคะ.. ดูเหมือนยุ่งยากแต่ไม่ยากอย่างที่คิดหรอกนะคะ... ถ้ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนแบบนี้ก็จะประชาสัมพันธ์ให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง คะ...ตอนนี้มีวิธีการเรียนการสอนที่กลับมาอีกครั้ง นั่นก็คือโรงเรียนผู้ใหญ่ค่ะ....จังหวัดพิษณุโลกก็เปิดสอนที่โรงเรียนพุทธชินราชพิทยา อ.เมืองพิษณุโลกคะ....



ปัญหาเด็กติดคอมฯ


ปัจจุบันคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของคนยุค ไอที มาก จนแทบจะกล่าวได้ว่า เป็นปัจจัยที่ หก ได้เลยโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น วัยเรียนทั้งหลายซึ่งข้อดีก็มี ข้อเสียก็มีในทำนองเดียวกัน มีข่าวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มากมายในทำนองสื่อที่เข้าถึงได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว เป็นทำนอง ร้ายมากกว่าดี ดังนั้นหลายๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามหามาตรการ ทุกวิถีทางที่จะป้องกัน ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า ทำไม เด็ก ส่วนใหญ่ติดคอมฯ จนเป็นปัญหาให้ผู้ใหญ่ที่คิดคอมฯขึ้นมาเพื่อประโยชน์อะไรก็ตาม...ต้องมาแก้ปัญหาร่วมกัน...
ลักษณะของเด็กติดเกม
1.ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เล่นในเวลาที่กำหนด ทำให้ใช้เวลาในการเล่นเกมนานติดต่อกันหลายๆ ชั่วโมง หรือเล่นนานขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มเป็นหลายชั่วโมงต่อวัน บางคนเล่นข้ามวันข้ามคืน
2.หากถูกบังคับให้เลิกหรือหยุดเล่นจะต่อต้าน หรือมีปฏิกิริยาหงุดหงิดไม่พอใจอย่างรุนแรง บางคนถึงขั้นก้าวร้าว อาละวาด
3.การเล่นของเด็กมีผลกระทบต่อหน้าที่ความรับผิดชอบของเด็ก เช่น เด็กไม่สนใจการเรียน ไม่สนใจที่จะทำการบ้าน หนีเรียนหรือแอบหนีออกจากบ้านเพื่อจะไปเล่นเกม การเรียนตกลงอย่างมาก ละเลยการเข้าสังคม หรือทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว
4.บางรายอาจมีปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น โกหก ลักขโมย เพื่อนำเงินไปเล่นเกม ดื้อต่อต้านแยกตัว เก็บตัว ฯลฯสาเหตุของการติดเกม
สาเหตุที่ทำให้เด็กติดเกม
มิได้มีเพียงสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง แต่การติดเกมเป็นเพียงผลลัพธ์ของหลายๆ ปัจจัยที่ผสมผสานและเกี่ยวข้องกันอยู่ สาเหตุหลักๆ ได้แก่
1.การเลี้ยงดูในครอบครัว มักจะพบเด็กติดเกมได้บ่อยในครอบครัวที่เลี้ยงเด็กโดยไม่เคยให้เด็กมีวินัยในตนเอง ขาดกฎระเบียบ กติกาในบ้าน ตามใจเด็ก หรือมักจะใจอ่อนไม่ทำโทษเมื่อเด็กกระทำผิด บางครอบครัวมีลักษณะที่สมาชิกในครอบครัวต่างคนต่างอยู่ ไม่มีกิจกรรมที่สนุกสนานให้เด็กทำ หรือไม่มีกิจกรรมที่สมาชิกทุกคนทำร่วมกัน ทำให้เด็กเกิดความเหงา ความเบื่อหน่าย เด็กจึงต้องหากิจกรรมอื่นทำเพื่อให้ตนเองสนุก ซึ่งก็หนีไม่พ้นการเล่นเกม พ่อแม่อาจไม่มีเวลาควบคุมเด็ก หรือมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องจำกัดเวลาในการเล่นเกมของเด็ก ในช่วงแรกพ่อแม่อาจรู้สึกพอใจที่เห็นเด็กเล่นเกมเงียบๆ คนเดียวได้โดยไม่มารบกวนตน ทำให้ตนมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น พูดง่ายๆ คือใช้เกมเสมือนเป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กแทนตน
2.สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมยุคไฮเทคที่มีเครื่องมือที่มีพลังในการเร้าความตื่นเต้นให้เกิดขึ้นในตัวเด็กอย่างมหาศาล สังคมวัตถุนิยม สังคมที่ขาดแคลนกิจกรรมหรือสถานที่ที่เด็กจะได้ใช้ประโยชน์หรือเรียนรู้โดยได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินไปด้วย เหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้เด็กหันไปใช้การเล่นเกมเป็นทางออก
3.ปัจจัยในตัวเด็กเอง เด็กบางกลุ่มมีความเสี่ยงต่อการติดเกมกว่าเด็กทั่วไป เช่น เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) เด็กที่มีปัญหาอารมณ์ ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล เด็กที่ขาดทักษะทางสังคม เข้ากับเพื่อนไม่ได้ เด็กที่มีปัญหาการเรียน เด็กที่มีความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองต่ำ (low sell-esteen) เป็นต้น
วิธีป้องกัน
1.คุยกับเด็กเพื่อกำหนดกติกากันล่วงหน้า ก่อนจะซื้อเกม หรืออนุญาตให้เล่นว่า เด็กสามารถเล่นเกมได้ ในวันใดบ้าง วันใดเล่นไม่ได้ เล่นได้กี่ครั้งและไม่เกินกี่ชั่วโมง ตั้งแต่เวลาใดถึงเวลาใด ก่อนจะเล่นต้องรับผิดชอบทำอะไรให้เสร็จเรียบร้อยก่อนบ้าง หากเด็กไม่รักษากติกา เช่น เล่นเกินเวลา ไม่ทำการบ้านให้เสร็จ เด็กจะถูกทำโทษอย่างไร (แนะนำให้ใช้วิธีเกม หรือตัดสิทธิ์การเล่นเป็นเวลาระยะหนึ่งหากเด็กไม่ทำตามกติกาที่ตกลง)
2.วางตำแหน่งคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่นเกมในสถานที่ที่เป็นที่โล่ง มีคนเดินผ่านไปมาบ่อยๆ ไม่ควรตั้งไว้ในห้องนอนหรือห้องที่มิดชิด เพื่อให้ผู้ปกครองจะได้ติดตามเฝ้าดูได้ เป็นการป้องกันมิให้เด็กเก็บตัว แอบเล่นคนเดียวในห้อง หรือแอบเล่นทั้งคืน
3.วางนาฬิกาขนาดใหญ่ไว้หน้าเครื่อง หรือในตำแหน่งที่เด็กสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
4.ให้คำชมแก่เด็กเมื่อเด็กสามารถรักษาเวลาการเล่น ควบคุมตัวเองไม่ให้เล่นเลยเวลาที่กำหนดได้
5.เอาจริง และเด็ดขาดหากเด็กไม่รักษากติกา เช่น ริบเกมโดยไม่ใจอ่อน ถอดสายโมเด็มออก ฯลฯ
6.ส่งเสริม จัดหากิจกรรมที่สนุกสนานอย่างอื่นๆ (ที่สนุกพอๆ กัน หรือมากกว่าการเล่นเกม) ให้เด็กทำ หรือมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันในครอบครัว
7.หลีกเลี่ยงการใช้เกมเป็นเสมือนพี่เลี้ยงเด็ก เพื่อที่พ่อแม่จะได้มีเวลาส่วนตัวไปทำอย่างอื่น
8.สอนให้เด็กรู้จักการแบ่งเวลา รู้จักใช้เวลาอย่างเหมาะสม
วิธีแก้ไข
1.หากในบ้านยังไม่มีกฎหรือกติกาการเล่นเกม จำเป็นที่จะต้องพูดคุยกับเด็กและให้เด็กเข้ามามีส่วนร่วมในการวางกติกา กำหนดเวลาการเล่น
2.มีเวลาอยู่กับเด็กให้มากขึ้น พาออกนอกบ้านเพื่อไปทำกิจกรรมที่เด็กชอบ (ยกเว้นการไปเล่นเกมนอกบ้าน) อย่าลืมว่าเด็กส่วนหนึ่งติดเกมเพราะความเหงา เบื่อ ไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ทำ
3.รักษาสัมพันธภาพระหว่างกันให้ดี หลีกเลี่ยงการบ่น ตำหนิ ใช้อารมณ์ หรือถ้อยคำรุนแรง แสดงความเห็นใจ เข้าใจว่าเด็กไม่สามารถควบคุมตัวเอง หรือตัดขาดจากเกมได้จริงๆ
4.ผู้ปกครองควรร่วมมือกันในการแก้ปัญหา โดยใช้กฎเดียวกัน อย่าปัดให้เป็นภาระหรือความรับผิดชอบของใครคนใดคนหนึ่ง
5.ฟอร์มเครือข่าย ผู้ปกครองที่มีเด็กติดเกมเหมือนๆ กันหลายๆ ครอบครัว แล้วผลัดกันนำเด็กทำกิจกรรมหลังเลิกเรียน หรือในวันหยุด เช่น การเข้าค่าย เรียนนอกสถานที่ วอล์กแรลลี่ จัดตั้งเป็นกลุ่มย่อยๆ ชมรมต่างๆ เช่น Sport club, adventure club เป็นต้น
6.ในรายที่ติดเกมจริงๆ และเด็กต่อต้านรุนแรงที่จะเลิก ในระยะแรกพ่อแม่ควรร่วมเล่นเกมกับเด็ก (แต่อย่าเผลอติดเกมเองเสียล่ะ) ทำความรู้จักกับเกมที่เด็กชอบเล่น หากเห็นว่าเป็นเกมที่ไม่เหมาะสม หรือเกมที่ใช้ความรุนแรง พยายามเบี่ยงเบนให้เด็กมาสนใจเกมอื่นที่พอจะมีส่วนดี ดึงเอาส่วนดีของเกมมาสอนเด็ก เช่น เกมสร้างเมือง Strategic games ต่างๆ เกมที่มีบทบาทสมมุติเพื่อฝึก Social skills เป็นต้น เมื่อสัมพันธภาพกับเด็กเริ่มดีขึ้น พ่อแม่จึงค่อยๆ ดึงเด็กให้มาสนใจในกิจกรรมอื่นๆ ทีละเล็กละน้อย
7.หากทำทุกวิธีข้างต้นแล้วไม่ได้ผล พ่อแม่ควรพาเด็กมาพบจิตแพทย์เด็ก เนื่องจากเด็กอาจจะป่วย มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่ลึกๆ เช่น ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล สมาธิสั้น ฯลฯ เพื่อรับการวินิจฉัยและบำบัดรักษาต่อไป

เกมออนไลน์ และเกมคอมพิวเตอร์ ดูจะเป็นตัวสร้างปัญหาและความปวดหัวให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองยุคนี้อย่างมาก เพราะเด็กๆ มักจะเล่นจนเลยเถิด ลืมวันลืมคืน แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้เด็กติดเกมได้บ้าง ลองมาฟังคำแนะนำจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นกันดีกว่า แพทย์หญิงอัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล จิตแพทย์ เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวในงานเผยแพร่ความรู้เรื่อง “เด็กติดเกม” ว่า ปัจจุบันมีเกมหลายประเภท ออกแบบให้ผู้เล่นเพลิดเพลิน เกมที่เด็กผู้ชายนิยมเล่นมากคือเกมต่อสู้ ผจญภัย และแข่งกีฬา ส่วนเกมที่เด็กหญิงนิยม คือเกมกีฬา และเกมแฟชั่น ในยุคไอทีเช่นนี้ การปิดกั้นไม่ให้เด็กใช้ อินเตอร์เน็ต หรือเล่นเกมออนไลน์เลย อาจไม่ใช่ทาง ออกที่ดี
พ่อแม่ ผู้ปกครองควรหาวิธีป้องกันไว้ก่อน ดังต่อไปนี้
1. ก่อนซื้อเกมหรือคอมพิวเตอร์เข้าบ้าน ควรคุยกับเด็กเพื่อกำหนดกติกาการเล่นเกมกันล่วงหน้าอย่างชัดเจนเสียก่อน ว่าจะให้เล่นในวันเวลาใด ครั้งละกี่ชั่วโมงหรือต้องทำอะไรให้เรียบร้อยก่อน คุณหมอแนะนำให้เขียนกฎ กติกา มารยาทไว้ในที่เห็นชัด เช่น หน้าคอมพิวเตอร์ และมีสมุดลงบันทึกการใช้งานคอมพิวเตอร์
2. ควรวางคอมพิวเตอร์ไว้เป็นสมบัติส่วนรวม มีคนเดินผ่านไปมาบ่อย ไม่วางในห้องนอนเด็ก
3. วางนาฬิกาไว้หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่นเกมในจุดที่เด็กมองเห็นเวลาได้ชัด
4. ควรชมเมื่อเด็กรักษาและควบคุมเวลาในการเล่นเกมได้
5. เอาจริงเอาจังและเด็ดขาดเมื่อเด็กไม่รักษากติกา ไม่ใจอ่อน แม้ว่าเด็กจะโวยวาย
6. สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก สร้างบรรยากาศในครอบครัวให้อบอุ่น น่าอยู่
7. ส่งเสริมให้เด็กมีกิจกรรมอื่นที่สนุกสนานและเด็กสนใจแทนการเล่นเกม
8. ฝึกระเบียบวินัย สอนให้เด็กรู้จักแบ่งเวลา
9. พ่อแม่ควรมีความรู้เกี่ยวกับเกม แยกแยะประเภทของเกม เลือกใช้เกมที่มีประโยชน์ ควรพูดคุยและให้ความรู้สอดแทรกให้ลูกเข้าใจและยอมรับได้ว่าการเล่นเกมที่ดีคืออะไร ไม่ส่งเสริมให้เล่นเพราะอะไร







นิ่วในทางเดินปัสสาวะ

นิ่วในไต จะน่ากลัวหรือไม่ ควรรู้ไว้?

บังเอิญเหลือเกินมีคนใกล้ตัวป่วยเป็นโรคนิ่ว....เห็นว่ามีประโยชน์เลยค้นคว้ามาฝากกัน เพราะจริงๆแล้วทุกคนมีสิทธิ์เป็นได้เหมือนกัน....


นิ่วในไตเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และพบมากในช่วงอายุ 30-40 ปี นิ่วในไต Renal calculi จะพบในประเทศอุตสาหกรรมมากกว่าประเทศเกษตรกรรม นิ่วในไตมักเกิดจากการที่ปัสสาวะเข้มข้นมากและตกตะกอนเป็นนิ่วมักจะเกิดที่ไตบริเวณกรวยไต และเมื่อนิ่วหลุดลงมาท่อไตก็จะเกิดอาการปวดท้องทันทีเหมือนคนปวดท้องคลอดลูกพบว่าเมื่อเป็นนิ่วโอกาสที่จะเกิดเป็นซ้ำประมาณครึ่งหนึ่งในเวลา 10 ปี ผู้ป่วยร้อยละ 80 นิ่วสามารถออกได้เอง

ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วทางเดินปัสสาวะจะมีอาการอะไรบ้าง

อาการของนิ่วในทางเดินปัสสาวะจะขึ้นกับขนาดของนิ่ว ตำแหน่งที่นิ่วนั้นอุดอยู่ นิ่วนั้นอุดทางเดินปัสสาวะมากน้อยแค่ไหน
นิ่วที่อุดท่อไตกับกรวยไต ureteropelvic junction [UPJ] ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเอวโดยที่ไม่มีอาการปวดร้าวไปบริเวณขาหนีบ
นิ่วอุดที่ท่อไต ureter ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องอย่างทันทีปวดอย่างรุนแรงปวดบิดเหมือนคลอดลูก บางคนปวดเอวและปวดร้าวลงมาบริเวณอวัยวะเพศ อาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
นิ่วอุดที่ท่อไตต่อกับกระเพาะปัสสาวะ ureterovesicle junction ผู้ป่วยจะมีอาการระคายเคืองเวลา ปัสสาวะ นิ่วอยู่ในกระเพาะปัสสาวะอาจจะไม่มีอาการ หรืออาจจะมีอาการปัสสาวะขัด เมื่อแพทย์ตรวจร่างกายอาจจะทุบเบาๆบริเวณหลังอาจจะทำให้ปวดเพิ่มขึ้น

ผลเสียของนิ่วในไต

ปวดท้องเมื่อนิ่วอุดท่อไต
มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ถ้ามีการอุดนานจะทำให้เกิดการเสื่อมของไต

สาเหตุของนิ่วในไต

ก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นในไตประกอบด้วยหินปูน (แคลเซียม) กับสารเคมีอื่นๆ เช่น ออกซาเลต, กรดยูริก เป็นต้น การเกิดนิ่วจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะที่มีแคลเซียมในปัสสาวะมากผิดปกติ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการกินอาหารที่แคลเซียมสูง การดื่มนมมากๆ หรือมีภาวะผิดปกติอื่นๆ (เช่น ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไปซึ่งทำให้แคลเซียมในเลือดสูง) นอกจากนี้ ยังพบเป็นโรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งมีการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
ส่วนกลไกของการเกิดนิ่วนั้น ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าคงมีปัจจัยร่วมกันหลายอย่างด้วยกัน เช่น การอยู่ในเขตร้อนที่ร่างกายสูญเสียเหงื่อง่าย แล้วดื่มน้ำน้อย ทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้นของแคลเซียม, การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ, ความผิดปกติทางโครงสร้างของไต เป็นต้น

คนที่ชอบกินอาหารที่มีสารซาเลตสูง หรือกินวิตามินซีขนาดสูงๆ (ซึ่งจะกลายเป็นสารออกซาเลตสูง) ก็มีโอกาสเป็นนิ่วมากกว่าคนปกติ

อาการ

ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเอวปวดหลังข้างใดข้างหนึ่ง ลักษณะปวดแบบเสียดๆ หรือปวดบิดเป็นพักๆ อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะอาจมีลักษณะขุ่นแดง หรือมีเม็ดทราย
ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดเล็ก อาจตกลงมาที่ท่อไต ทำให้เกิดอาการปวดบิดในท้องรุนแรง บางรายอาจไม่มีอาการแสดงเลยก็ได้
อาการแทรกซ้อน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อกลายเป็นกรวยไตอักเสบ และถ้าปล่อยไว้นานๆ มีการติดเชื้อบ่อยๆ ก็ทำให้เนื้อไตเสีย กลายเป็นไตวายเรื้อรังได้

การรักษา

หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาล มักจะวินิจฉัยโดยการตรวจปัสสาวะ (พบมีเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก) ตรวจเลือด เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์ไตด้วยการฉีดสี (intravenous pyelogram หรือ IVP) และอาจตรวจพิเศษอื่นๆ ถ้าจำเป็น
ถ้านิ่วก้อนเล็กอาจหลุดออกมาได้เอง แต้ถ้าก้อนใหญ่อาจต้องผ่าตัดเอาออก หรือใช้เครื่องสลายนิ่ว (extracorporeal shock wave lithotripsy/ESWL) สลายนิ่วโดยการใช้เสียงความถี่สูงทำให้นิ่วระเบิดเป็นผงโดยไม่ต้องผ่าตัด ถ้ามีอาการปวดให้ยาแก้ไข้ หรือแอนติสปาสโมดิก


ถ้ามีอาการติดเชื้อให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน, โคไตรม็อกซาโซล หรือนอร์ฟล็อกซาซิน เช่นเดียวกับการรักษากรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ในรายที่มีสาเหตุชัดเจน ควรให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยารักษาโรคเกาต์ในรายที่เป็นโรคเกาต์ เป็นต้น

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้แม้ไม่มีอาการแสดง ก็ควรจะรักษาอย่างจริงรัง ถ้าจำเป็นอาจต้องผ่าตัดเอาออก หรือใช้เครื่องมือสลายนิ่ว หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดแทรกซ้อนเป็นอันตรายได้
2. ผู้ป่วยควรดื่มน้ำมากๆ และลดอาหารที่มีกรดยูริก แคลเซียม และสารออกซาเลตสูง ถ้าเป็นนิ่วก้อนใหญ่ ควรรักษาด้วยการใช้เครื่องสลายนิ่วหรือการผ่าตัด

ธรรมะ กับ ชีวิต


เวลาเจองานหนัก ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ

เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการร้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดังใจหวัง

เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือแบบทดสอบที่ว่า "มารไม่มี บารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย ให้บอกกับตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์


จาก ชีวิตคิดบวก ของท่าน ว.วชิรเมธี

กิจกรรม กศน.เดือน พฤษภาคม






เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม นี้ กศน.อำเภอเนินมะปรางจัดอบรมบุคลากรในโครงการพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนการศึกษานอกโรงเรียน เพื่อ เพิ่มเทคนิคการจัดการเรียนการสอนในหมวดวิชาภาษาไทย ให้กับครูประจำศูนย์การเรียนชุมชนในเขตอำเภอเนินมะปราง สืบเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนครูผู้สอนในสาขาวิชาหลัก ซึ่งครูส่วนใหญ่ของกศน.อำเภอ ไม่ได้จบหลักสูตรในสาขาวิชาหลักดังกล่าว เช่น วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ เป็นต้น จึงได้จัดโครงการนี้ขึ้น โดยมีวิทยากร คือนางบุปผา ชมพูผ่อง ครูชำนาญการพิเศษ จากโรงเรียนเนินมะปรางศึกษาวิทยา เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ทั้งนี้มีการเปิดโครงการโดย ผอ.กศน.อำเภอเนินมะปราง นางกัญญาภัค โพธิ์มณี ณห้องประชุมเทศบาลตำบลเนินมะปราง

โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำของนักเรียน นักศึกษา




โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการมีงานทำของนักเรียน นักศึกษา ให้มีรายได้ระหว่างเรียน ของกระทรวงศึกษาธิการ ปี ๒๕๕๒ สำหรับสถานศึกษาสังกัด สำนักงาน กศน. มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานโครงการนี้ ดังนี้

๑.เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาใช้เวลาว่างที่เป็นประโยชน์ก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ได้รับการพัฒนาทักษะด้านอาชีพ และประสบการณ์ที่ส่งผลต่อความยั่งยืนในอนาคต
๒.เพื่อเปลี่ยนแปลงค่านิยมในการทำงานที่พึงประสงค์และพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ให้นักเรียน นักศึกษา
๓.เพื่อให้การทำงานส่งผลให้นักเรียน นักศึกษาเกิดการเรียนรู้และเกิดการรักการอ่านและสามารถเป็นแกนนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๔.เพื่อให้นักเรียน นักศึกษามีรายได้ระหว่างปิดภาคเรียน

เป้าหมายการดำเนินงาน


๑.จ้างงานนักเรียน นักศึกษา ทุกสังกัด
๒.จ้างงานนักเรียน นักศึกษาทุกอำเภอ

กิจกรรมการจ้าง ทำงาน ๖ กิจกรรม (ตามความเหมาะสมของสถานศึกษา)


๑.การจัดทำประวัติศาสตร์ชุมชน
๒.หนังสือสู่ประตูบ้าน (ส่งเสริมการอ่านหนังสือในชุมชน)
๓.เล่าเรื่อง นิทาน อ่านหนังสือนิทาน
๔.กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาไทย(สอนภาษาไทย)
๕.ค่ายเด็กประถมศึกษา "อ่านคล่อง เขียนคล่อง คิดเลขได้"
๖.อื่นๆ(ต้องเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการอ่าน)

ระยะเวลาการดำเนินงาน


๓ มีนาคม-๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒

คุณสมบัติของนักเรียน นักศึกษา


เป็นนักเรียน นักศึกษา ในสถานศึกษา(สังกัด กศน. สช. สพฐ. สอศ. และสกอ.) อายุ ๑๕ ปีขึ้นไป

จำนวนนักเรียน นักศึกษาที่รับทำงาน


๑.นักเรียน นักศึกษา อำเภอละ ๑๐ คน
๒.รายชื่อนักเรียน นักศึกษาแต่ละช่วงเวลาต้องไม่ซำกัน
๓.สัดส่วนการรับสมัคร นักศึกษา กศน. ร้อยละ ๒๐
นักศึกษา สช. ร้อยละ ๓๐
นักเรียน นักศึกษา สพฐ. สอศ.และสกอ. ร้อยละ ๕๐

ค่าจ้างทำงานและเวลาทำงาน


๑.อัตราค่าจ้างวันละ ๒๐๐ บาทต่อคน
๒.เวลาทำงาน วันละ ๘ ชั่วโมง

สถานที่ทำงาน

ห้องสมุดประชาชน, ศูนย์การเรียนชุมชน และ อื่นๆตามความเหมาะสม

การประเมินผล


จากรายงานผลการดำเนินงานแต่ละกิจกรรม และผลงานจากการทำกิจกรรม
ในส่วนของ กศน.อำเภอเนินมะปรางแบ่งนักศึกษาทำงานเป็น ๒ ช่วงเวลา ช่วงที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๒๓ มีนาคม ถึง ๓ เมษายน ๒๕๕๒ และช่วงที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๐ เมษายน ถึง ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒
โดยมีนักศึกษาแต่ละช่วงเวลาดังนี้


ช่วงที่ ๑ ประกอบด้วย นางสาวดารัตน์ ชาวเขา สังกัด สพฐ.
นางสาวกนกพร ก้อนทอง สังกัด สพฐ.
นางสาวธิดารัตน์ สุขสวัสดิ์ สังกัด กศน.
นางสาวทักษพร เกิดเที้ยง สังกัด สพฐ.
นางสาวนริศรา ศรีพูล สังกัด กศน.


ช่วงที่ ๒ ประกอบด้วย นางสาวจุฑารัตน์ ยิ้มสังข์ สังกัด สกอ.
นางสาวบังอร ดีธรรมะ สังกัด สกอ.
นายนพดล จักรแก้ว สังกัด สกอ.
นายอานนท์ แสนประสิทธิ์ สังกัด สพฐ.
นางสาวสุภาพร รสโฉม สังกัด สพฐ.

มีผลการดำเนินงานของนักศึกษาช่วงที่ ๑ เป็นเอกสารส่งเสริมการอ่านวิชาภาษาไทย เรื่อง ถ้ำในเขตอำเภอเนินมะปราง
ผลงานของนักศึกษาช่วงที่ ๒ เป็นเอกสารส่งเสริมการอ่านวิชาภาษาไทย พร้อมแบบทดสอบเพื่อประเมินผลความรู้ความเข้าใจ เรื่องประวัติชุมชนและประเพณีท้องถิ่นอำเภอเนินมะปราง
ทั้งนี้สามารถชมเนื้อหา และภาพประกอบได้ที่ link npnfe.wordpress.com ซึ่งสามารถคลิกที่หน้า Blog นี้ได้เลย

ประมวลภาพ ใคร เป็นใคร ในโครงการฯ ของกศน.อำเภอเนินมะปราง




ทีมที่ ๑ หนูมาคนเดียว เพื่อนๆติดงาน.....นางสาวทักษพร เกิดเที้ยงจาก ร.ร.เนินมะปรางศึกษาวิทยา คะ...




ทีมที่ ๒ มาเป็นหมู..เอ๊ย เป็นหมู่...ทีมเก่งชุดนี้ได้รับรางวัลจาก ผอ.ด้วย....(แบ่งกันบ้าง ดิ..)



สาวสวยจาก.. ม.นเรศวร จ.พะเยา นางสาวบังอร ดีธรรมมะ....(แต่เป็นคนบ้านเนินมะปราง น่ะจ๊ะ)
สวยและขยันอีกตังหาก...อิ อิ




แมนสุดๆๆ...นายนพดล จักรแก้ว..จาก ม.ราชภัฎพิบูลสงคราม จ.พิษณุโลก



สาวสวยอีกคนในทีมเก่ง...นางสาวจุฑารัตน์ ยิ้มสังข์ จาก ม.นเรศวร จ.พิษณุโลก.. จ้า
(คณะเทคนิคการแพทย์ ซ่ะด้วยซิ...เก่งจัง)




น้องที่น่ารัก จาก ร.ร.เนินมะปรางศึกษาวิทยา นางสาวสุภาพร รสโฉม.. ( เกาหลีได้ใจจริงๆๆน่ะจ๊ะ..)


นิสัยดีสุดๆๆ...นายอานนท์ แสนประสิทธิ์ จากร.ร. เนินมะปรางศึกษาวิทยา...(คุยเก่ง ม๊าก มาก)

อย่างไร..ก็อย่าลืมแวะมาเยี่ยมชม กศน.เนินมะปรางและเข้ามาติชม ใน blog กันบ้าง น่ะค่ะ..........

ระวัง.......กลโกงของคนขี้โกง...

......................." หลอกว่าโอนเงินเข้าบัญชี ผิด......"
เดี๋ยวนี้มีกลโกงที่แนบเนียนมาก คนดีๆ หลายคนรู้ไม่ทัน เลยตกเป็นเหยื่อ เชิญพวกเรารู้ข้อมูลไว้ป้องกันตัวนะคะ.......

ผู้เล่า... เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อ วันศุกร์ที่ 28 มีนา มีคนโทรเข้ามาบอกว่าเป็นพนักงานแบงค์กรุงเทพฯ บอกว่ามีลูกค้าโอนเงิน เข้ามาที่บัญชีเราผิด บอกเลขบัญชีทุกอย่างถูกหมด แล้วก็บอกให้โอนเงินกลับด้วย เพราะว่าลูกค้าคนนั้น เดือดร้อนมาก เราก็บอกว่าขอไปเช็คก่อน พอวันเสาร์เราไปกดตัง ค์ก็พบว่ามีเงินเข้ามาบัญชีเราผิดตามจำนวนที่เค้าบอกจริงๆ ก็เลยโอนคืนไปให้...... ก็ไม่คิดว่ามีอะไร เพราะมันก็ไม่ใช่เงินเราจริง.... จนมาวันนี้ได้รับใบ แจ้งหนี้ CITIBANK มี ยอด Call for cash ให้ผ่อนจ่ายรายเดือน ก็เลยโทรไปเช็คที่ call center เค้าบอกว่าเราโทรไปขอ เบิกเงินสดเข้าบัญชีเราเอง เมื่อวันท ี่ 25 มีนา เราก็บอกว่าไม่ได้ทำ.. .อย่างนี้ก็โดนหลอกแล้วซิ พนักงาน call center ก็ได้แต่บอกให้ไปแจ้งความ ซึ่งก็ยังดีที่เราเก็บ silp ที่เราโอน เงินไว้นะ......จะรบกวนผู้รู้ค่ะ ว่าจะทำอย่างไรต่อดี จะไปแจ้งความที่ไหน แล้วตำรวจจะช่วยเราได้ ไหม เพราะจำนวนเงินนั้นก็หลายหมื่นเลยค่ะ จากคุณ : jupjib - [ 19 เม .ย. 51 14:36:15 ]

ผู้ตอบ.....วิธีแก้ไข หากเจอแบบนี้ ไม่ต้องทำรายการโอนครับ ถึงจะมีการโอนเข้ามาผิดจริง ทาง ธนาคารสามารถทำรายการแก ้ไขได้เองอยู่แล้ว การทำรายการโอนเงิน เท่า กับเราเป็นผู้สั่งโอน การแก้ไขจะทำได้ลำบากขึ้น หรือหากเป็นการโอนจาก ATM หรือ CDM ให้ขอหลักฐานเป็นหนังสือออก โดยธนาคารมาให้เราก่อน ( ตัวจริงนะครับ) แล้ว เช็คข้อมูลกับธนาคารต้นทางก่อนจนแน่ใจ อีก 4-5 วันค่อยโอนก้อ ไม่เสียหาย เพราะไม่ได้มีเจตนาโกง ฟ้องมาก้อชนะแน่นอน ถ้า เป็น การทำรายการ โอนผิด ธนาคารแค่แจ้งลูกค้าปลายทาง แล้วจัดการ เองได้เลยแน่นอน นี่เป็นวิธีหลอกลวงแบบใหม่ เพื่อนๆ โปรดระวัง แจ้งเตือนกันให้ทั่ว คนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นคนดี...อยากคืนเงินคนที่ เดือดร้อนแน่อยู่แล้ว ดังนั้นมีโอกาสตกหลุมนี้ได้ไม่ยากเลย เจ้าของบัญชีที่รับโอนกลับคงเป็นคนบ้านนอก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก ถูกจ้างให้เปิดบัญชีพร้อมบัตร ATM ได้ เงิน 200-300 บาทก็เอาแล้ว คนโกงก็กด ATM เชิดไป แล้วหลายหมื่น ข้อควรระวังเรื่องนี้ 1. ถ้าโอนผิดจริง แบงก์สาขาจะสามารถจัดการได้เองเลย เราไม่ต้องทำอะไรครับ 2. เบอร์โทรเข้ามา ถ้าแปลกๆ แบบไม่แสดงเบอร ์ หรือ เป็นแบบโทรจาก internet ให้ระวังไว้ก่อนเลยครับ 3. ใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต ควรทำลายอย่าให้เหลือเห็นข้อมูลต่างๆ เช่น วงเงินสินเชื่อ หรือ เลขบัญชีธนาคารที่ตัดอัตโนมัติ โปรดกระจายข่าวเรื่องนี้ไปยังเพื่อนและญาติๆ โดยด่วน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายการหลอกลวงเช่นนี้ครับ

โรคไข้หวัดหมู


มารู้จักโรคไข้หวัดหมูกันเถอะ........
มาทำความรู้จัก โรคไข้หวัดหมู มหันตภัยตัวใหม่กันก่อนจะสาย สาธารณสุขเตือนภัยไข้หวัดหมู สาธารณสุขเตือนภัยไข้หวัดหมู ไข้หวัดหมูจากการติดเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส ไทป์ II
การติดเชื้อสเตรปโตคอกคัส ซูอิส หรือ Streptococcus suis ไทป์ II หรือโรคไข้หวัดหมู ที่ติดจากหมูสู่คน
ติดต่อสู่คนที่เกี่ยวข้องกับฟาร์ม-โรงฆ่า และเขียงหมู รวมไปถึงการบริโภคเนื้อหมู/เลือดหมูสดในอาหารจำพวกลาบดิบ/หลู้

เชื้อไวรัสหวัดหมู
►เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
► วงการแพทย์ตั้งชื่อสายพันธุ์ว่า H1N1 เอชวันเอ็นวัน
►เป็นเชื้อไข้หวัดที่ผสมหวัดคนปน กับหวัดนก สามารถระบาดจากคนสู่คนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการสัมผัสกัน
วัคซีนไข้หวัดใหญ่อาจไม่สามารถป้องกันเชื้อชนิดใหม่นี้ได้
ผลการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมชี้ว่า
เชื้อหวัดใหญ่ชนิดนี้เป็นส่วนผสมของไวรัสจากหมู มนุษย์ และสัตว์ปีก
ป็นสายพันธุ์ที่ไม่เคยพบมาก่อน
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในวัย 25-45
เป็นโรคระบาด




วิธีป้องกัน

๑.หลีกเลี่ยงที่ชุมนุมชน
๒.สวมหน้ากากปิดปากและจมูก
๓.หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับคนป่วย
๔.การกินอาหารร่วมกัน
๕.การไอหรือจามรดกันในระยะใกล้ชิด
๖.ติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อน
๗.เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและตา เช่น การแคะจมูก การขยี้ตา
๘.ไม่ติดต่อจากการรับประทานเนื้อหมู

อาการของโรค
๑.มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่
๒.มีไข้สูง
๓.ปวดเมื่อยตามร่างกาย
๔.ไอ
๕.มีน้ำมูก
การรักษา
•รักษาสุขภาพให้แข็งแรง
•รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผัก ผลไม้
•นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
•ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
• งดสูบบุหรี่
•งดดื่มเหล้า
•ล้างมือบ่อยๆ


เรียน กศน.อย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ

สวัสดี .. ค่ะ ทุกท่านที่ติดตาม " kanyapakpomanee.blogspot.com" ต้องขอขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ผู้เขียนจะได้ปรับปรุงเนื้อหาสาระได้ตรงใจกับทุกคนที่ติดตาม...วันนี้มีการแสดงความคิดเห็นให้ผู้เขียนบอกให้ทราบเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของ กศน.ว่าเป็นอย่างไร?

อ่านต่อ...

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หมายถึงเครื่องหมายที่ พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้น สำหรับพระราชทานให้กับบุคคล และเพื่อประกาศเกียรติยศ เป็นบำเหน็จความชอบในราชการ หรือส่วนพระองค์ ปัจจุบัน หมายรวมถึง เครื่องหมายที่ทรงสร้างขึ้น สำหรับพระราชทานแก่ ผู้ที่ทำความดีความชอบ อันเป็นประโยชน์แก่ ประเทศชาติ และ เหรียญที่ทรงสร้างขึ้น สำหรับพระราชทาน เป็นที่ระลึกเนื่องใน โอกาสต่าง ๆ ด้วย

ส่วนประกอบทั่วไป
1. ดวงตรา หรือ เหรียญ



2. แพรแถบ (สำหรับบุรุษ และ สตรี)
3. ดารา
4. สายสะพาย
5. เครื่องหมายดุมเสื้อ

6. เครื่องหมายแพรแถบ
7. สายสร้อย

8. แพรจีบ ( สีชมพู แดง น้ำเงิน ขาว )
9. เสื้อครุย ( ฝ่ายหน้า )
เสื้อครุย นพรัตนราชวราภรณ์

เสื้อครุยมหาจักรี บรมราชวงศ์

10. แพรห่ม หรือ ผ้าทรงสะพัก ( ฝ่ายใน )

ผ้าทรงสะพัก มหาจักรี บรมราชวงศ์


ผ้าทรงสะพักนพรัตนราชวราภรณ์

ผ้าทรงสะพัก ปฐมจุลจอมเกล้า

11. แหวน
12. สังวาล

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
1. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำหรับพระราชทานแก่ประมุขของรัฐต่างประเทศ
2. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน
3. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบในพระองค์พระมหากษัตริย์
4. เหรียญราชอิสริยาภรณ์ ชนิดต่าง ๆ ซึ่งนับเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์


รวมพล.....คนกศน.

เจ้าหน้าที่ กศน.อำเภอเนินมะปราง ในปีงบประมาณ ๒๕๕๒








นางวนิดา มั่นคง


อ่านต่อ...

ประวัติอำเภอเนินมะปราง


ประวัติความเป็นมา

อำเภอเนินมะปรางเดิมเป็นตำบลที่อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ราษฎรส่วนใหญ่อพยพมาจากหลายพื้นที่ โดยเฉพาะทางภาคอีสาน เช่น จังหวัดร้อยเอ็ด เลย มหาสารคาม เพชรบูรณ์ เป็นต้น จึงทำให้มีวัฒนธรรมประเพณีที่หลากหลาย จากสถานการณ์ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๙ มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เข้าปลุกระดมมวลชนทำการแทรกซึมบ่อนทำลาย และซุ่มโจมตีสถานที่ราชการอยู่เนืองๆ ทางราชการจึงได้แยกพื้นที่บางส่วนของอำเภอวังทองตั้งเป็นกิ่งอำเภอเนินมะปราง เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๑๙ และต่อมาได้ยกฐานะเป็นอำเภอเนินมะปรางเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๖ อำเภอเนินมะปรางมีเนื้อที่ประมาณ ๑๑,๐๒๙.๕๕ ตารางกิโลเมตร

อาณาเขตติดต่อ

ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ อำเภอวังทรายพูนและอำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเขาค้อ และอำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์
ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก อำเภอสากเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร

ลักษณะภูมิประเทศ

สภาพทั่วไปเป็นพื้นที่ราบชายเขา ไม่มีแหล่งต้นน้ำลำธาร ซึ่งในฤดูแล้งมักจะเกิดการขาดแคลน้ำในการอุปโภคบริโภค เป็นพื้นที่ราบชายเขา ร้อยละ ๕๕.๒๓ และเป็นพื้นที่ภูเขา ร้อยละ ๔๔.๗๗ ตารางกิโลเมตร

ประชากร
จำนวน ๖๒,๙๕๔ คน



ลักษณะการปกครอง

แบ่งการปกครองเป็นเทศบาลตำบล ๓ แห่งได้แก่

๑.เทศบาลตำบลเนินมะปราง

๒.เทศบาลตำบลไทรย้อย

๓.เทศบาลตำบลบ้านมุง

แบ่งการปกครองเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๕ แห่งได้แก่

๑.องค์การบริหารส่วนตำบลเนินมะปราง

๒.องค์การบริหารส่วนตำบลชมพู

๓.องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก

๔.องค์การบริหารส่วนตำบลวังโพรง

๕.องค์การบริหารส่วนตำบลวังยาง

แบ่งการปกครองตาม พรบ.ลักษณะการปกครองท้องถิ่น พ.ศ. ๒๔๕๗ มี ๗ ตำบล ๗๗ หมู่บ้าน สามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

npnfe.wordpress.com link ที่ blog นี้ได้เลย.....