พลังแห่งการพัฒนางานสู่ความเป็นเลิศ
การจัดการศึกษาของชาติมีความมุ่งหมายเพื่อให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นคนดีมีความสามารถและมีความสุขเป็นพื้นฐานอันสำคัญของการพัฒนาและเป็นเครื่องมือชี้นำสังคมผู้ได้รับการศึกษาจึงเป็นบุคคลที่มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศซึ่งสอดคล้องกับการปฎิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง
รัฐบาลมุ่งเน้นให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพและมีเป้าหมายหลัก
๓ประการคือพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาการเรียนรู้ของคนไทย เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสังคมในการบริหารและจัดการศึกษา
การดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีพลังและมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีการกระจายอำนาจและให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมซึ่งสอดคล้องกับหลักการพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๔๒และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๒)
พ.ศ.๒๕๔๕และพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. ๒๕๕๑
ให้มีการจัดระบบโครงสร้าง กระบวนการบริหารจัดการให้มีเอกภาพและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและทุกภาคส่วนของสังคมอันจะก่อให้เกิดความคล่องตัว
มีอิสระด้านการบริหารจัดการโดยเฉพาะการใช้โรงเรียนเป็นฐาน(School Based)
เป็นหน่วยสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
ในปัจจุบันการปฎิบัติงานในสถานศึกษาเน้นให้สมาชิกเป็นส่วนหนึ่งของทีมและเป็นหน่วยขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาที่สำคัญเนื่องจากผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้ที่มีภาระรับผิดชอบในการบริหารจัดการให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมสามารถจัดกิจกรรมทางการศึกษาให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องใช้ความรู้
ความสามารถทักษะและคุณลักษณะที่น่าเชื่อถือเพื่อส่งเสริม สนับสนุน
กระตุ้นให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้บรรลุเป้าหมายซึ่งจำเป็นต้องใช้ความสามารถที่เหมาะสมสอดคล้องกับบทบาทที่ปฎิบัติประสบผลสำเร็จโดดเด่นกว่าผู้อื่นซึ่งเรียกว่าสมรรถนะ(Competency) นั่นเอง
การบริหารงานในสถานศึกษานิยมแบบราบมากกว่าเป็นแบบปิรามิดตลอดจนการแบ่งปันแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้บริหารและครูผู้สอนโดยยึดกิจกรรมที่ดำเนินการกับผู้เรียนเป็นสำคัญ
จะสามารถช่วยให้การทำงานบังเกิดผลสำเร็จได้เป็นอย่างดีและมีประสิทธิภาพจึงมีความจำเป็นต้องใช้ความรู้ความสามารถของผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการคุณภาพและสนับสนุนการพัฒนาปรับปรุงสิ่งต่างๆอย่างต่อเนื่องหรืออาจกล่าวได้ว่าสมรรถนะนั้นเป็นอาวุธสำคัญที่มีอยู่ในตัวตนของผู้บริหารสถานศึกษามืออาชีพอันจะนำไปสู่ความสำเร็จได้แนวความคิดเรื่องสมรรถนะ(Competency)
จึงเข้ามามีบทบาทและถูกนำมาใช้ในการจัดการสถานศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นเหตุเพราะการกำหนดสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องกำหนดให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์
พันธกิจและเป้าหมายของหน่วยงานอีกทั้งยังนำหลักการ แนวคิด
มาใช้ในกระบวนการด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในหลายมิติ (อาภร
ภู่วิทยพันธุ์.๒๕๔๘:คำนำ)
ผู้บริหารสถานศึกษาจึงมีความจำเป็นต้องใช้ความสามารถที่มีอยู่และที่ซ่อนเร้นอยู่
มาบริหารจัดการศึกษาให้บังเกิดผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ยิ่งขึ้น
สำหรับความหมายของสมรรถนะนั้นสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(๒๕๔๗)ว่าสมรรถนะ
(Competency) คือคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่เป็นผลมาจากความรู้ ทักษะ
ความสามารถและคุณลักษณะอื่นๆที่ทำให้บุคคลสามารถสร้างผลงานได้โดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมงานอื่นๆในองค์กร
อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ (๒๕๔๗:๖๑)
ให้นิยามของสมรรถนะไว้ว่าคือคุณลักษณะของบุคคลซึ่งได้แก่ ความรู้ ทักษะ
ความสามารถและคุณสมบัติต่างๆอันได้แก่ ค่านิยม จริยธรรม บุคลิกภาพ
คุณลักษณะทางกายภาพและอื่นๆซึ่งจำเป็นและสอดคล้องกับความเหมาะสมขององค์กร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสามารถจำแนกได้ว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จในการทำงานได้ต้องมีคุณลักษณะเด่นๆอะไรหรือคุณลักษณะสำคัญๆอะไรบ้างหรืออีกนัยหนึ่งสาเหตุที่ทำงานแล้วไม่ประสบความสำเร็จเพราะขาดคุณลักษณะบางประการคืออะไร
เป็นต้น ประจักษ์ ทรัพย์อุดม (๒๕๕๐:๓)
ได้ให้ความหมายของคำว่าสมรรถนะไว้ว่า คือความรู้(Knowledge)
ทักษะ(Skill) และคุณลักษณะส่วนบุคคล (Personal
Characteristic of Attributes) ที่ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรม (Behavior) ที่จำเป็นและมีผลให้บุคคลนั้นปฎิบัติงานในความรับผิดชอบของตนได้ดีกว่าบุคคลอื่น
ซึ่งสมรรถนะของคนเกิดได้จาก ๓ ทางคือ ๑) เป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ๒)
เกิดจากประสบการณ์การทำงาน ๓) เกิดจากการฝึกอบรมและพัฒนา
หากจะพิจารณาความหมายของสมรรถนะตามความคิดเห็นของนักวิชาการในประเทศพอประมวลได้ว่า
หมายถึง กลุ่มพฤติกรรมของบุคคลที่แสดงออกและส่งผลต่อการปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบทำให้การปฎิบัติงานนั้นประสบความสำเร็จตามเกณฑ์มาตรฐานหรือสูงต่ำโดยมีองค์ประกอบ
๓ ส่วนคือ ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) และคุณลักษณะส่วนบุคคล(Attributes)ที่ซ่อนเร้นอยู่ได้แก่
ค่านิยม จริยธรรม บุคลิกภาพ คุณลักษณะทางกายภาพและอื่นๆและกลุ่มพฤติกรรมที่ถูกนำมาใช้จะต้องมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับภาระงานที่ปฎิบัติในตำแหน่งนั้นๆด้วย
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (๒๕๔๗) ระบุว่าสมรรถนะหรือ Competency
มีความสำคัญต่อการปฎิบัติงานของบุคลากรและองค์การ สมรรถนะมีประโยชน์ต่อตัวผู้ปฎิบัติงานต่อตัวองค์กรหรือหน่วยงานและต่อการบริหารงานบุคคลโดยรวมดังนี้
๑)
ช่วยให้การคัดสรรบุคคลที่มีลักษณะดีทั้งความรู้
ทักษะ
และความสามารถตลอดจนพฤติกรรมที่เหมาะสมกับงานเพื่อปฎิบัติงานให้สำเร็จตามความต้องการขององค์กรอย่างแท้จริง
๒)
ช่วยให้ผู้ปฎิบัติงานทราบถึงระดับความสามารถของตัวเองว่าอยู่ในระดับใดและจะต้องพัฒนาในเรื่องใดช่วยให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น
๓)
ใช้ประโยชน์ในการพัฒนาฝึกอบรมแก่พนักงานองค์กร
๔)
ช่วยสนับสนุนให้ตัวชี้วัดหลักของผลงาน(KPIs)
บรรลุเป้าหมายเพราะ Competency จะเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าถ้าต้องการให้บรรลุเป้าหมายตามตัวชี้วัดหลักแล้วจะต้องใช้
Competency ตัวไหนบ้าง
๕)
ป้องกันไม่ให้ผลงานเกิดจากโชคชะตาเพียงอย่างเดียว
เช่น ยอดขายของพนักงานขายเพิ่มสูงกว่าเป้าที่กำหนดทั้งๆที่พนักงานขายคนนั้นไม่ค่อยตั้งใจทำงานมากนักแต่เนื่องจากความต้องการของตลาดสูง
จึงทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเองโดยไม่ต้องลงแรงอะไรมากแต่ถ้ามีการวัดสมรรถนะแล้วจะทำให้สามารถตรวจสอบได้ว่าพนักงานคนนั้นประสบความสำเร็จเพราะโชคช่วยหรือด้วยความสามารถของเขาเอง
๖)
ช่วยให้เกิดการหล่อหลอมไปสู่สมรรถนะขององค์กรที่ดีขึ้นเพราะถ้าทุกคนปรับสมรรถนะของตัวเองให้เข้ากับผลงานที่องค์กรต้องการอยู่ตลอดเวลาแล้วในระยะยาวก็จะส่งผลให้เกิดเป็นสมรรถนะเฉพาะขององค์กรนั้นๆเช่น
เป็นองค์กรแห่งการคิดสร้างสรรค์เพราะทุกคนในองค์กรมีสมรรถนะในเรื่องการคิดสร้างสรรค์(Creative Thinking)
ในส่วนของการพัฒนาบุคลากรนั้นแนวคิดเรื่องสมรรถนะนี้มีแนวคิดพื้นฐานมาจากการมุ่งเสริมสร้างความสามารถให้ทรัพยากรบุคคลโดยมีความเชื่อว่าเมื่อพัฒนาคนให้มีความสามารถแล้วคนจะใช้ความสามารถที่มีไปผลักดันให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย
ดังนั้นการนำเรื่องสมรรถนะมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงควรมุ่งพัฒนาทรัพยากรบุคคลขององค์กรเป็นหัวใจสำคัญ
ต้องมีการพิจารณาว่าบุคคลในองค์กรมีความสามารถอย่างไรจึงจะทำให้องค์กรเหนือกว่าคู่แข่งและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ดังนั้น
ประโยชน์ของ Competency ในด้านการพัฒนาบุคคลจึงสรุปได้ดังนี้
๑)
การเลือกสรรเพื่อให้ได้คนที่มีความสามารถเหมาะสมกับองค์กรและงาน
๒)
การเลื่อนระดับปรับตำแหน่งให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
๓)
การพัฒนาฝึกอบรมความสามารถของบุคคลให้สอดคล้องกับตำแหน่งงาน
๔)
การเพิ่มประสิทธิภาพในการประเมินผลการปฎิบัติงานของบุคคล
๕)
การบริหารผลงาน
(Performance managemence)
๖)
การบริหารคนเก่ง
(Talent Management)
๗)
การโยกย้ายสับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่การงาน
๘)
การพัฒนาความก้าวหน้าสายอาชีพ
เอนกลาภ สุทธินันท์ (๒๕๔๘)
กล่าวถึงความสำคัญของสมรรถนะว่า
สมรรถนะมีทั้งส่วนที่เหมือนและมีทั้งส่วนที่แตกต่างจากความสามารถทั่วไปคือในส่วนที่เหมือนประกอบไปด้วยความรู้
ความเข้าใจ ทัศนคติและทักษะความชำนาญในการทำงานแต่ในส่วนที่แตกต่างกันคือศักยภาพส่วนบุคคล
อุปกรณ์ เครื่องมือที่ต้องใช้ในการปฎิบัติงาน
อำนาจการตัดสินใจที่เหมาะสมที่ต้องใช้ในการปฎิบัติงานนั้นๆให้บรรลุผลงานตามเป้าหมาย
ดังนั้นเหตุผลสำคัญที่ต้องมีการกำหนดสมรรถนะในการทำงานก็คือ
๑)
สมรรถนะคือคุณสมบัติที่สำคัญที่ทำให้บุคคลในแต่ละตำแหน่งงานสามารถทำงานให้บรรลุผลลัพธ์ที่องค์กรต้องการ
๒)
เป็นแนวทางการ คัดเลือก พัฒนา โยกย้าย บุคลากร
๓)
เป็นแนวทางการสร้างวัฒนธรรมการทำงาน
๔)
ประเมินผลงานพนักงานอย่างเป็นธรรม
๕)
ป้องกันความสูญเสียที่จะเกิดจากการทำงาน
๖)
สร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฎิบัติงาน
จะเห็นได้ว่าสมรรถนะนั้นมีความสำคัญต่อการปฎิบัติงานของบุคคล
การดำเนินงานขององค์กรและมีบทบาทสำคัญต่อการบริหารงานบุคคลขององค์กร
โดยที่สมรรถนะมีผลทำให้การดำเนินภารกิจบรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น