ฮาลาลคืออะไร ?


คำว่า "ฮาลาล" เป็นคำภาษาอาหรับ มีความหมายทั่วไปว่า อนุมัติ เมื่อนำมาใช้ในทางศาสนาจะมีความหมายว่า สิ่งที่ศาสนาอนุมัติ เช่นอนุมัติให้กิน อนุมัติให้ดื่ม อนุมัติให้ทำ อนุมัติให้ใช้สอย เป็นต้น
"ฮาลาล" เป็นคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกับคำว่า "ฮารอม" ที่มีความหมายทั่วไปว่า ห้าม และเมื่อนำมาใช้ในทางศาสนาจะมีความหมายว่า สิ่งที่ศาสนาห้าม
การอนุมัติสิ่งใด หรือการห้ามสิ่งใดในศาสนาอิสลามเป็นประกาศิตที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า และมาจากศาสนทูตของพระองค์เท่านั้น ถือเป็นหลักสำคัญที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดโดยไม่ต้องค้นหาเหตุผลการอนุมัติหรือเหตุผลการห้ามแต่อย่างใด เมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้แจ้งไว้ เพราะมุสลิมมีความเชื่อมั่นศรัทธาว่าสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าอนุมัติเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ส่วนสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าห้ามเป็นสิ่งที่มีพิษภัยและมีโทษ พระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมาทราบดีถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษต่อมนุษย์ พระองค์จึงอนุมัติสิ่งที่เป็นคุณและห้ามสิ่งที่เป็นโทษ
ส่วนเหตุผลที่มนุษย์ค้นพบว่ามีข้อดีในสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ และมีข้อเสียในสิ่งที่ศาสนาห้าม โดยพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้แจ้งไว้และได้นำมาอ้างอิงนั้นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้นไม่ใช่เป็นหลักสำคัญ เพราะเหตุผลที่มนุษย์ค้นพบอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนประกาศิตของพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นอมตะไม่เปลี่ยแปลง
ในเมื่ออิสลามเป็นระบอบในการดำเนินชีวิตของมุสลิม ชีวิตของมุสลิมจึงผูกพันอยู่กับศาสนาตั้งแต่เกิดจนตาย การกระทำทุกอย่างของมุสลิมต้องดำเนินอยู่ในกรอบที่ศาสนากำหนดในทุกกรณีทั้งเรื่องความผูกพัน ระหว่างมนูษย์กับสัตว์ มุสลิมต้องมีความเมตตาสงสารสัตว์ การกักขังสัตว์โดยไม่ให้อาหารเป็นเหตุให้ตกนรก การกลั่นแกล้งรังแกสัตว์ จะต้องถูกนำไปไต่สวนต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า การเชือดสัตว์เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติให้กระทำได้ภายใต้กรอบที่เชือดเพื่อเป็นอาหาร ไม่กระทำทรมานสัตว์ ต้องเชือดด้วยมีดที่คม ต้องให้สัตว์ล้มลงนอนอย่างดี และขณะเชือดต้องกล่าวนามของพระผู้เป็นเจ้า

โรคที่พบบ่อยในผู้บริหาร(หญิง)

ความหมายของวัยทอง
วัยทองในผู้หญิง ก็คือวัยหมดประจำเดือนในอายุประมาณ 45-55 ปี โดยเฉลี่ยอายุ 49 ปี ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ตัดรังไข่ก็ สามารถเกิดวัยทองได้ทันทีหลังตัดรังไข่ เมื่อถึงวัยนี้รังไข่จะหยุดทำงาน และไม่มีการตกไข่อีกต่อไปทำให้ไม่มีประจำเดือนและไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงจากรังไข่อีก จึงทำให้เกิดอาการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
อาการในวัยทอง
เมื่อไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง จะพบว่ามีอาการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ดังนี้
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
- มีอาการทางระบบเส้นเลือด เช่น อาการร้อนวูบวาบ โดยเฉพาะส่วนบนของร่างกาย แก้ม คอจะแดง เหนื่อยง่าย ใจสั่น มีเหงื่อออกมากตอนกลางคืน หรือบางคนมีอาการหนาวสั่น อาการนี้จะเป็นนานประมาณ 1-5 นาที
- เต้านมมีขนาดเล็กลง
- ผิวหนังจะบางลง แห้งและเกิดเป็นแผลได้ง่าย มีอาการคันตามผิวหนัง หรือเหมือนมีมดไต่ หรือมดกัดตามผิวหนัง
- เส้นผมจะหยาบแห้งและบางลง หลุดร่วงได้ง่าย ไม่ดกดำเป็นเงางามเหมือนก่อน
- มีอาการทางกล้ามเนื้อและผิวหนัง ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทองจะมีอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ หรือปวดตามข้อและกระดูก กระดูกจะเริ่มบางลง เนื่องจากมีการทำลายเซลล์กระดูกเพิ่มขึ้น
- อาการทางระบบสืบพันธุ์ ผนังเยื่อบุช่องคลอดจะบางลง ช่องคลอดขยายตัวไม่ดี ช่องคลอดแห้ง ทำให้มีอาการเจ็บหรือแสบในช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์ และมีการติดเชื้อในช่องคลอดบ่อยขึ้น และเกิดภาวะช่องคลอดหย่อน เรียกว่า กระบังลมหย่อน
- อาการทางระบบปัสสาวะ มีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะเล็ดเวลาไอ จามหรือหัวเราะ แก้ไขได้โดยขมิบช่องคลอดวันละประมาณ 200 ครั้ง นอกจากนี้เยื่อบุปัสสาวะยังบางลง ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย และอักเสบได้บ่อย
- มีอาการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เร็ว เครียดง่าย หงุดหงิด โกรธง่าย ใจน้อย ควบคุมอารมณ์ได้ยาก บางคนหลงลืมง่าย เวียนศีรษะ ซึมเศร้า
- มีปัญหาเรื่องการนอน นอนหลับยาก ตื่นเร็ว
- ความรู้สึกทางเพศลดลง บางคนอาจมีความรู้สึกทางเพศสูงขึ้น
- มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่าง เอวจะเริ่มหายไป ไขมันเพิ่ม ผิวหนังเหี่ยว
- ร่างกายมีภูมิต้านทานลดลง ทำให้ติดเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย
เมื่อเข้าสู่วัยทองมักจะมีโรคต่าง ๆ ตามมาดังต่อไปนี้
- เกิดโรคกระดูกพรุนได้เร็ว
- เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และสมอง
- มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก

เมื่อเข้าสู่วัยทองควรปฏิบัติตัวดังนี้
1. การรับประทานอาหาร
- รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ไขมันน้อย เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงหรือสัตว์ใหญ่ เนย น้ำตาล และอาหารเค็ม
- รับประทานพวกผักใบเขียวและผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี อี สูง ข้าวซ้อมมือ
- ดื่มนมพร่องหรือขาดมันเนยเป็นประจำ เพราะนมมีแคลเซียมธรรมชาติ ดูดซึมและนำไปใช้ในร่างกายได้ดีถ้าดื่มนมไม่ได้ ให้ดื่มนมถั่วเหลือง หรือ น้ำเต้าหู้แทน ปลาตัวเล็ก หรือปลากระป๋องที่รับประทานได้ทั้งกระดูก ทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมมากขึ้น
- ควรดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ เพราะมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียม และไม่ควรสูบบุหรี่ สำหรับอาหารเสริม ไม่จำเป็นมากนัก ถ้ารับประทานอาหารได้ครบทุกหมวดหมู่
2. การออกกำลังกาย
เราจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ การออกกำลังกายได้แก่ การวิ่ง การเดินเร็ว อย่างน้อย 20 นาที ต่อวัน ในช่วงที่มีแสงแดดอ่อนๆ ประโยชน์ของการออกกำลังกาย
- ช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- ช่วยให้กระดูกมีความหนาแน่นมากขึ้น ป้องกันโรคกระดูกบาง กระดูกพรุน ในกรณีนี้ ต้องได้รับสารอาหารที่มีแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอด้วย
- ช่วยลดความเครียดจากการทำงาน และทำให้กระชุ่มกระชวย
- ช่วยให้นอนหลับได้สนิทและง่ายขึ้น
- ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
- ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
3. การพักผ่อน
ควรนอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8ชม. ผิวพรรณจะได้ดูสดใส และรู้สึกสดชื่น
4. ในเรื่องการร่วมเพศ
- ควรใช้สารหล่อลื่นขณะร่วมเพศ
- นอกจากนี้ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน และให้แพทย์ตรวจ หรือทำ Mammogram (X-Ray เต้านม อย่างน้อยทุก 1-2 ปี / ครั้ง) และตรวจมะเร็งปากมดลูกทุกปี
คณะ
5. ด้านจิตใจ
ทำจิตใจให้สบาย ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผิวหนังได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงมากขึ้น ควรมีการสันทนาการอย่างเช่นการร้องเพลง หรือจะเต้นลีลาศก็ได้ค่ะ การฝึกสมาธิก็จะช่วยให้จิตใจสบาย ไม่เครียด ทำให้นอนหลับพักผ่อนได้ในเวลากลางคืน
6. การให้ฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง
ในวัยหมดประจำเดือน จะขาดฮอร์โมนเพศหญิง คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน การได้รับฮอร์โมนทดแทนควรปรึกษาแพทย์ เพราะผู้ที่มีประวัติเป็นโรคต่างๆ เช่น มะเร็งของเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งเต้านม เส้นเลือดสมองตีบตัน หรือเคยแตกมาก่อน การแข็งตัวของลิ่มเลือดผิดปกติ ประจำเดือนผิดปกติ ปวดศีรษะไมเกรน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เนื้องอกมดลูก โรคลมชัก นิ่วในถุงน้ำดี สูบบุหรี่จัด ไม่ควรได้รับฮอร์โมนทดแทน หากจำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนทดแทน ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และได้รับการดูแลจากแพทย์

วัยทองเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลายอย่าง เนื่องจากไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงแล้ว แต่ถ้ามีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ลดอาหารพวกแป้ง ไขมัน อาหารหวาน อาหารเค็ม รับประทานเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ รับประทานผักใบเขียว และผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี อี สูง และอาหารที่มีแคลเซียมสูง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ พักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบาน แจ่มใสอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้จะทำให้สุขภาพกายแข็งแรง ลดอาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ดีที
เดียวค่ะ

ข้อมูลจากบทความบริการวิชาการประจำเดือนพฤศจิกายน 2549 : อาจารย์ อังสนา ศิรประชา

โรคนอนไม่หลับ

ว่ากันที่จริง ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดานะคะ ที่คนเราจะมีอาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในชีวิต แต่ในบางคน กลับมีอาการรุนแรงและยาวนาน จนเข้าขั้นเป็น "โรคนอนไม่หลับ" ขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
เมื่อพูดถึงโรคนอนไม่หลับ หลายๆ คนมักจะคิดไปว่าเกี่ยวข้องกับความเครียดหรือการคิดมาก ทำให้ไม่กล้าที่จะปริปากบอกผู้อื่นหรือคนใกล้ชิดว่าตนเองกำลังมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับอยู่ เพราะเกรงจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ ที่จริงแล้ว สาเหตุของโรคนอนไม่หลับนั้นมีมากมายหลายอย่าง ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะสาเหตุจากความเครียดเท่านั้นหรอกนะคะ
อาการนอนไม่หลับเองก็มีหลายรูปแบบ ไล่มาตั้งแต่เข้านอนแล้วหลับยาก หรือตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อไม่ได้ หรือตื่นเช้ามืดกว่าปกติแล้วหลับต่อไม่ได้ หรือหลับๆ ตื่นๆ
โดยทั่วไปแล้วเราพอจะสรุปถึงสาเหตุของโรคนอนไม่หลับได้อย่างง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
1. เป็นความผิดปกติในตัวคนนั้นเอง เช่น เคยนอนไม่หลับอยู่ช่วงหนึ่ง ต่อมาจะกังวลว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ทำให้นอนไม่หลับ หรือมีอาการนอนไม่หลับขึ้นมาโดยหาสาเหตุไม่พบ หรืออาจสัมพันธ์กับการนอนกรนบางอย่างได้
2. เป็นจากความผิดปกติภายนอก เช่น เกิดเรื่องราวทำให้เครียด สภาพแวดล้อม ในการนอนไม่ดี หรือเกี่ยวข้องกับการติดยาหรือสารบางอย่าง เช่น เหล้า หรือยานอนหลับ เป็นต้น
3. เป็นอาการหนึ่งของโรคทางจิตเวชหรือโรคทางกาย เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า ที่มีอาการท้อแท้ เบื่อหน่ายชีวิต เบื่ออาหาร ความจำไม่ค่อยดี อ่อนเพลียร่วมด้วย โรคถุงลมโป่งพองหรือโรคสมองเสื่อม เป็นต้น
ส่วนประเภทของโรคนอนไม่หลับนั้น เราแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ค่ะ

ก. การนอนไม่หลับแบบชั่วคราว : ลักษณะนี้หมายถึง นอนไม่หลับติดต่อกันเป็นหลายวัน แต่ไม่ถึงหลายสัปดาห์ คนไม่น้อยอาจจะเคยประสบกับปัญหาเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความเครียดหรือความกังวลใจต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนหรือแฟน, มีปัญหากับที่ทำงานหรือใกล้ๆ วันสอบหรือวันที่ต้องมีธุระสำคัญ เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วอาการจะดีขึ้นเองภายในไม่กี่วัน หรือในบางรายอาจต้องใช้ยานอนหลับช่วยในระยะสั้นๆ พออาการดีขึ้นก็หยุดยาได้

ข. การนอนไม่หลับแบบระยะต่อเนื่อง : หมายถึง อาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นอย่างต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์ๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายหรือดีขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นผลจากความเครียดหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดนั้นยังไม่คลี่คลาย เช่น การ ตกงาน, ปัญหาเศรษฐกิจเงินทอง รวมถึงปัญหาครอบครัว โดยทั่วไปถ้าปัญหาต่างๆ ได้รับการคลี่คลาย การนอนหลับก็มักจะกลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์ว่ามีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยปัญหาการนอนหลับของตน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื้อรัง ดังในกลุ่มถัดไป
ค. การนอนไม่หลับแบบเรื้อรัง: คนกลุ่มนี้จะมีปัญหาในการนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่องเกือบทุกคืน ติดต่อกันหลายเดือน หรือแม้กระทั่งเป็นปี สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการก็จะเริ่มซับซ้อนมากขึ้น ไม่ตรงไปตรงมาเพียงแค่ว่าเครียดแล้วนอนไม่หลับ หลายครั้งที่ความเครียดได้เบาบางหรือหายไปหมดแล้ว แต่อาการนอนไม่หลับกลับยังดำเนินอยู่ต่อ บางคนใจจดใจจ่อตลอดเวลาว่าคืนนี้จะหลับหรือไม่หลับ ถ้าไม่หลับแล้วพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะทำงานได้อย่างแจ่มใสหรือไม่ ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวการนอน ไม่กล้าที่จะนอน เลยทำให้แทนที่เวลานอนจะเป็นเวลาที่ให้ความสุข กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความทุกข์และทรมาน
การรักษาอาการนอนไม่หลับอย่างแท้จริงนั้น
1. เราจะต้องค้นหาสาเหตุ และกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับก่อน ถ้าเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย หรือโรคทางจิตเวช ก็ต้องรักษาโรคเหล่านั้นให้ดีขึ้น อาจใช้ยาช่วยให้นอนหลับในช่วงเริ่มต้น และใช้ยาเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เมื่อความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือความเจ็บป่วยทางจิตเวชดีขึ้น อาการนอนไม่หลับก็จะหมดไป และสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น
2. ปฏิบัติตนตามสุขลักษณะการนอนที่ดี ได้แก่ จัดห้องนอนให้เหมาะแก่การนอนหลับ เช่น ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวหรือเย็นเกินไป ไม่ให้มีเสียงดังอึกทึก ควรมีบรรยากาศที่สงบเงียบ หรืออาจมีเสียงเพลงบรรเลงเบาๆ เป็นต้น
3. ยาช่วยให้นอนหลับ ควรรับประทานเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ควรใช้ยาต่อเนื่องนานเกิน 2-6 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้ติดยา หรือต้องพึ่งยาตลอดไป
อาหารที่ช่วยให้นอนหลับ
1. เครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนนอน ประเภทมอลต์สกัด เช่น โอวัลติน หรือ ไมโล (ไม่ต้องหวาน)
2. เครื่องดื่มชาสมุนไพรต่าง เช่น แคโมไมล์ ไลม์บลอสซัม วาเลอเรียน มะตูม เก๊กฮวย เป็นต้น (ยกเว้นในผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะบ่อย อาจทำให้ปวดปัสสาวะกลางดึก ต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แล้วนอนต่อไม่หลับได้ง่ายๆ)
3. นมชนิดหวานทำให้หลับได้ง่าย เพราะน้ำตาลจะช่วยทำให้เซลล์สมองดูดซึมกรดอะมิโน ทริปโตฟาน จากกระแสโลหิต ให้เปลี่ยนเป็น เซโรโทนินเพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย (แต่น้ำตาลก็ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม ต้องชั่งใจดู)4. อาหารจำพวกแป้ง โดยแป้งมีฤทธิ์คล้ายยาระงับความวิตกกังงล หรือทำให้กลูโคสในกระแสเลือดสูงขึ้น กระตุ้นการหลั่ง Serotonin (แต่ก็เพิ่มน้ำหนักตัวด้วยเหมือนกัน)
5. น้ำผึ้ง ซึ่งเคยใช้เป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ มานานแล้ว โดยชงผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยในนมอุ่นๆ หรือ ชาสมุนไพร

ความหมายของคำใน "กศน." ตอนที่ ๒

วันนี้เสนอ คำว่า การศึกษาในระบบ หมายถึง การศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน เป็นการจัดการศึกษาที่มีหลักสูตร ครูผ้สอน สื่ออุปกรณ์ รูปแบบ วิธีการสอน สถานที่ศึกษา
ตัวอย่าง เช่น นักเรียนที่เข้าศึกษาในโรงเรียนต่างๆ หรือนักเรียน นักศึกษา ในสถาบันอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย

การศึกษาทางเลือก หมายถึง ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการจัดการศึกษาด้วยตนเอง โดยสามารถ เลือกวิธีเรียนที่เหมาะสม และเนื้อหาวิชาเรียนตามความต้องการ เพราะเชื่อว่ามนุษย์มีความแตกต่าง
เป็นการจัดการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นและหลากหลาย การจัดกระบวนการเรียนรู้ เนื้อหาสาระการเรียนรู้ สอดคล้องกับธรรมชาติ และความต้องการของผู้เรียน
เป็นการศึกษาที่จัดได้หลายรูปแบบ ได้แก่ จัดโดยครอบครัว หรือโฮมสคูล จัดโดยโรงเรียน หรือ ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ถ่ายทอดความรู้ แก่ผู้เรียน เช่น ศิลปะ ช่างไม้ แกะสลัก แพทย์แผนไทย สมุนไพรต่างๆ เป็นต้น
เป็นการศึกษาที่จัดผ่านสื่อการเรียน และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ

การศึกษาต่อเนื่อง หมายถึงการศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อสนองความต้องการและความจำเป็นของบุคคลต่อเนื่องจากฐานความรู้เดิม ในรูปของกิจกรรมการเรียนรู้หรือหลักสูตรการเรียนรู้ ประเภทมีหน่วยกิต และไม่มีหน่วยกิต ซึ่งมิใช่การศึกษาตามระบบปกติ การศึกษาต่อเนื่อง เป็นได้ทั้งการฝึกอบรมด้านอาชีพ การยกระดับฝีมือในการทำงาน รวมทั้งหลักสูตรการพัฒนาตนเองเพื่อการทำงาน และการเรียนรู้เพื่อการแก้ไขปัญหา
เป็นการศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อสนองความต้องการ และความจำเป็น ของบุคคลต่อเนื่องไปจากการศึกษาขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษา
การจัดการศึกษาต่อเนื่องมีหลายรูปแบบ เช่น การจัดการศึกษาหลังการรู้หนังสือ การศึกษาเพื่อการเทียบโอน การศึกษาเพื่อการมีรายได้ การศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษาเพื่อส่งเสริมความสนใจส่วนบุคคล เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น การเรียนหลักสูตรคอมพิวเตอร์จากสถานที่รับสอนต่างๆ หรือการเรียนขับรถยนต์จากสถานที่จัดสอนการฝึกขับรถยนต์ เป็นต้น

ความหมายของคำใน"กศน."



สืบเนื่องจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งประกอบด้วยมาตรา ๒๕ มาตรา เป็นกฎหมายสำหรับให้สถานศึกษาในสังกัดสำนักงาน กศน.และภาคีเครือข่ายดำเนินการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับประชาชนให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจกับสถานศึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคีเครือข่าย หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงาน กศน.จึงได้อธิบายศัพท์ ทฤษฎี หลักการ และวิชาการที่เกี่ยวข้อง ให้มีความชัดเจน ในการบอกความหมายของคำและแสดงตัวอย่างประกอบ จำนวน ๖๐ คำ ซึ่งในวันนี้นำมาเผยแพร่ให้ทราบ ๓ คำ ดังนี้ค่ะ
การศึกษานอกระบบ
หมายถึง การศึกษาที่จัดให้กับประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่จำกัด พื้นฐานการศึกษา อาชีพ ประสบการณ์หรือความสนใจ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้เรียนได้รับความรู้ด้านพื้นฐาน ทักษะในการประกอบอาชีพและทักษะที่จำเป็นสำหรับความรู้ด้านอื่นๆเป็นฐานในการดำรงชีวิต
การจัดการศึกษานอกระบบ มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดผลและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขการสำเร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของผู้เรียน
ตัวอย่าง เช่น การสอนหนังสือให้ผู้ไม่รู้หนังสือในวัยผู้ใหญ่ ให้อ่านออก เขียนได้และเข้าใจหน้าที่พลเมือง

การศึกษาตามอัธยาศัย
การศึกษาที่เกิดขึ้นตามวิถีชีวิตที่ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อมและโอกาส โดยศึกษาจากประสบการณ์ การทำงาน บุคคล ครอบครัว สื่อมวลชน ชุมชน แหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อเพิ่มพูน ความรู้ ทักษะ ความบันเทิงและการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยมีลักษณะที่สำคัญคือ ไม่มีหลักสูตร ไม่มีเวลาเรียนที่แน่นอน ไม่จำกัดอายุ ไม่มีการลงทะเบียน ไม่มีการสอบ ไม่มีการรับประกาศนียบัตร มีหรือไม่มีสถานศึกษาแน่นอน เรียนที่ไหนก็ได้ สามารถเรียนได้ตลอดเวลาและเกิดขึ้นในทุกช่วงวัยตลอดชีวิต
ตัวอย่าง เช่น เด็กเรียนรู้ เกี่ยวกับ ภาษาและคำศัพท์ภาษาอังกฤษ จากรายการโทรทัศน์

การศึกษาตลอดชีวิต
เป็นการศึกษาที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
เป็นการศึกษาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดจนตาย
เป็นการศึกษาที่พัฒนาคนให้ได้เรียนรู้ในรูปแบบต่างๆตามความสามารถของตนเอง เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก สามารถทำงานและอยู่ร่วมกันในสังคม

รู้ใจวัยรุ่น

ช่วงนี้เปิดเทอมแล้ว.....โรงเรียนทุกแห่งก็ดูคึกคักและสดใสต้อนรับนักเรียน นักศึกษา.... เด็กๆ ลูกๆ หลานๆ ข้างบ้านเมื่อวานยังตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย...เปิดเทอมครั้งนี้ใส่เครื่องแบบนิสิต นักศึกษาเสียแล้ว ไวจริงๆเลย แล้วเราจะไม่แก่ได้อย่างไรกันเนี่ย...วัยรุ่นเป็นวัยที่สดใสร่าเริง และเป็นช่วงต่อระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกายและอารมณ์ รวมทั้งสังคมใหม่ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาต่างๆ จึงจำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่รวมทั้งผู้ปกครองของเด็กวัยรุ่นต้องรู้เท่าและรู้ทันในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีความแตกต่างกันในการเลี้ยงดูลูกแต่ละยุคแต่ละสมัย...แต่ไม่แตกต่างกันในตัวของผู้ปกครองนั่นก็คือความรักและความปรารถนาดีที่มีให้ต่อบุตรหลาน ...แต่จะทำอย่างไร จึงจะให้พวกเขาได้เข้าใจถึงความหวังดีของผู้ปกครอง..เป็นการบังเอิญหรือย่างไรไม่ทราบไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนแล้วมีการพบผู้ปกครอง...ทางโรงเรียนจัดให้มีการเลือกคณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครอง ซึ่งดิฉันก็เป็นผู้หนึ่งที่บรรดาคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายโหวตให้เป็นคณะทำงานก็รับมาด้วยความเต็มใจยิ่ง (แบบงงๆ)....ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่หลายท่านเรื่องการเลี้ยงดูลูก(ทำนองนินทาลูก....) ก็รู้ได้เลยว่าทุกคนมีปัญหาคล้ายคลึงและใกล้เคียงกัน จึงนำเสนอบทความนี้เพื่อแลกเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดูบุตรหลานกับผู้อ่านทุกท่านน่ะค่ะ หากท่านมีแนวคิดดีๆ ก็บอกกล่าวกันบ้างก็จะดีไม่น้อย


การได้อยู่ในครอบครัวที่มีสัมพันธภาพและบรรยากาศอบอุ่นเป็นความสุขและมีคุณค่าอย่างยิ่ง เป็นที่พึงปรารถนาของคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกคน ครอบครัวที่ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดมึนตึงเข้าหากันเป็นเวลาเนิ่นนาน เกินไปย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของทุกคนในครอบครัวและผู้เกี่ยวข้อง ทุกคนในครอบครัวสามารถช่วยกันได้ด้วยวิธีง่ายๆดังนี้

๑ วาจาดี หรือการแสดงออกซึ่งการห่วงหาอาทรกันและกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย อันเป็นกุญแจดอกสำคัญที่นำไปสู่ความรัก ความผูกพันของคนในครอบครัวอย่างได้ผล

๒ แบ่งเบาภาระหน้าที่ของกันและกัน ด้วยความเสียสละ ถ้อยทีถ้อยอาศัย อดทน

๓ สำคัญที่สุดคือ การให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน ไม่ซ้ำเติมให้เสียน้ำใจ

ความสุขที่มีทั้งความรัก ความอบอุ่น ในครอบครัวเป็นปัจจัยรากฐานที่สำคัญมาก สำหรับการพัฒนาบุคลิกภาพและการอบรมบ่มนิสัยให้ลูกหลาน เป็นคนดีของสังคมป้องกันภัยอันตรายจากสิ่งแวดล้อมในสังคมปัจจุบัน สิ่งที่พ่อแม่ควรทำมีดังนี้

๑ ไม่ควรขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ มาพูดไม่รู้จบ

๒ ไม่ควรเปรียบเทียบลูกของตัวเองกับลูกคนอื่น

๓ คอยดูแลลูกให้มีระเบียบวินัยและอดทนกับอาการไม่พอใจของลูกที่ไม่อยากให้ยุ่งกับห้องและของใช้ส่วนตัว

๔ ควรฟังสิ่งที่ลูกเล่า ทำให้ลูกไว้วางใจ กล้าเข้ามาขอคำปรึกษาหารือเรื่องต่างๆได้

๕ พ่อแม่ควรบอกรักให้ได้ยินบ่อยๆ รักทั้งคำพูดและการกระทำไม่เอาแต่บ่นว่า

๖ ควรบอกเหตุผลด้วยคำพูดดีๆ ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้คำหยาบ

๗ ควรชมลูกเมื่อกระทำดีหรือสิ่งถูกต้อง ลูกจะได้มีกำลังใจและทำต่อไป

๘ ควรให้ลูกได้ตัดสินใจด้วยตัวเองบ้าง เมื่อผิดพลาดก็ให้เป็นบทเรียนและชี้ถูกผิดให้กับลูกรวมทั้งประพฤติตนที่ดีเป็นแบบอย่างให้กับลูกด้วย

๙ ควรมีเวลาทำกิจกรรมกับลูกบ้าง และไม่วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ลูกชอบ

๑๐ ควรส่งเสริมสิ่งที่ลูกชอบและให้ความสนใจในกิจกรรมดีๆที่ลูกเลือกและต้องการ โดยไม่มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ



(ข้อมูลจากหนังสือพ่อแม่รู้ใจ วัยรุ่นรู้ทัน ของสำนักงาน กศน.)

พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐

พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ।ศ.๒๕๕๐ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๐ นั้นแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อการบริหารจัดการด้าน IT ที่องค์กรภาครัฐและหน่วยงานท้องถิ่นส่วนใหญ่ยังไม่ให้ความสำคัญเนื่องจากมองเป็นสิ่งไกลตัว และยังไม่เข้าใจเนื้อหาสาระว่ามีความเกี่ยวโยงกับการบริหารจัดการภายในหน่วยงานอย่างไร

วันนี้จะนำเรื่องที่สุ่มเสี่ยงและใกล้ตัวท่านและองค์กรท่านมาพูดคุยกัน นั่นก็คือการใช้งาน อินเตอร์เน็ต ภายในองค์กรภาครัฐและเอกชน มาตรา ๒๖ แห่ง พ।ร.บ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ "ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน นับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการผู้ใด เก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกิน ๙๐ วัน แต่ไม่เกิน ๑ ปี เป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้ ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็น เพื่อให้สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการนับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๙๐ วันนับตั้งแต่การใช้บริการสิ้นสุดลง ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฎิบัติตามมาตรานี้ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ห้าแสนบาท "
ซึ่งคำว่าผู้ให้บริการตามมาตรา ๒๖ นั้น ให้หมายรวมถึงองค์กรต่างๆ ที่ให้บริการ อินเตอร์เน็ต แก่บุคคลทั่วไปและบุคลากรภายในองค์กรด้วย นั่นหมายความว่าทุกหน่วยงานที่มี อินเตอร์เน็ต ให้บริการภายในหน่วยงานเข้าข่ายที่จะต้องปฎิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ทั้งนั้น
จะต้องทำอย่างไร
ก็จะต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์อย่างน้อย ๙๐ วัน
ข้อมูลที่ต้องเก็บรักษาเหล่านั้นมีอะไรบ้าง
อย่างง่ายๆ ก็คือข้อมูลที่จะทำให้สามารถตอบคำถามได้ว่าใครเข้าไปใช้งานอินเตอร์เน็ตเมื่อไร และเข้าไปใช้ทำอะไร ถ้าหากระบบที่หน่วยงานของท่านใช้อยู่ไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ ก็หมายความว่าหน่วยงานของท่านไม่ปฎิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ แน่นอน....ว่าผู้รักษากฎหมายฉบับนี้ไม่มีนโยบายที่จะตรวจว่าผู้ให้บริการต่างๆปฎิบัติตามหรือไม่ ท่านก็คงมองว่าป็นเรื่องไกลตัว แต่หากว่าผู้ใช้อินเตอร์เน็ต กระทำผิดกฎหมายข้อใดข้อหนึ่งแล้วมีการสืบสวนมาถึงหน่วยงานของท่านสิ่งเหล่านี้ไม่ไกลตัวเสียแล้วล่ะค่ะ॥เพียงการโพสข้อความในอินเตอร์เน็ตหมิ่นสถาบัน หมิ่นประมาท ใส่ร้ายผู้อื่น ส่งภาพอนาจารต่างๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะนำภัยมาถึงหน่วยงานของท่านแล้ว หรือท่านจะว่าเรื่องขี้ผง...ปรับแค่ ห้าแสนบาทเอง.....(ข้อมูลจากคลีนิก ไอที อบจ.พิษณุโลก)

ข้อคิดสำหรับผู้จะสร้างบ้าน

๑๐ จุดหมกเม็ดของผู้รับเหมา (ไม่ดี)


คงเป็นเรื่องน่าปวดศรีษะสำหรับเจ้าของบ้านหากเจอผู้รับเหมาที่ไม่ซื่อตรง...ต้นปีหน้าดิฉันคิดจะปลูกบ้านในฝันของตัวเองสักหลังหนึ่งก็ค้นคว้าตำหรับตำราการปลูกบ้านสำหรับมือใหม่มาอ่านยกใหญ่.......ไม่ว่าจะเป็นแปลนบ้านจนถึงการก่อสร้างที่เจ้าของบ้านควรจะรู้ไว้ จากประสบการณ์เจ้าของบ้านส่วนใหญ่จะวางใจผู้รับเหมามากและพอส่งมอบงานก็เกิดเรื่อง จะแก้ไขก็ยากจะทุบอาคารทิ้งรื้อทำใหม่ก็ทำให้สิ้นเปลืองหนักเข้าไปอีก ไหนจะเป็นภาระกับการกู้ธนาคาร ซึ่งให้เงินมาตามวงเงินที่ขออนุมัติแบบไป ดิฉันพูดในฐานะคนชั้นกลางโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีทุนพอจะทุบรื้อทิ้ง ทำใหม่ ก็ไม่กล้าพอจะทำเช่นนั้นจำต้องทนรับมอบงานเช่นนั้นมา อยู่ไม่ถึงปี เดี๋ยวก็ร้าว ตรงโน้น รั่วตรงนี้ น่าเห็นใจจริงๆ ดิฉันเห็นเรื่องนี้เข้าสะดุดใจจึงนำมาฝากสำหรับคนคิดจะสร้างบ้านเป็นของตนเองทั้งในเร็ววันนี้หรือในอนาคตข้างหน้า ค่ะ

จุดที่ ๑ เริ่มจากสัญญาก่อสร้าง

งานเอกสารสัญญาที่ส่อเจตนาทุจริต อาทิเช่น แผนการเบิกเงินในแต่ละงวดมีจำนวนสูงกว่าปริมาณงานที่ทำจริงอยู่มาก พอสบโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะทิ้งงานไปเฉยๆ ดังนั้นเจ้าของบ้านควรตรวจสอบสัดส่วนของเงินแต่ละงวดในเอกสารสัญญาให้ถี่ถ้วนด้วย

จุดที่ ๒ การถมที่ดินด้วยเศษวัสดุ

งานก่อสร้างบนที่ดินว่างเปล่าหรือที่ต่ำกว่าระดับถนนมักเริ่มต้นด้วยการถมดิน ดินที่เหมาะกับงานถมต้องเป็นดินเหนียวที่จะถมในชั้นแรก ตามด้วยหน้าดินเพื่อให้ปลูกต้นไม้หรือหญ้าได้ ในขั้นตอนนี้ผู้รับเหมาที่ชอบซิกแซกมักจะหาเศษวัสดุ อิฐหักแฃละขี้ปูนมาถมเป็นชั้นแรกแทนดินเหนียว ผลที่ตามมาคือการทรุดตัวของผิวดินและสิ่งก่อสร้าง

จุดที่ ๓ ฐานรากไมได้มาตรฐาน

สิ่งสำคัญอันดับแรกๆองการก่อสร้างคือการตอกเสาเข็ม เพราะป็นส่วนฐานรากที่หยั่งลึกลงไปในดิน หากเกิดความผิดพลาดก็ยากที่จะสืบค้นและซ่อมแซม จะส่งผลต่อการทรุดตัวของอาคารในระยะยาวแน่นอน ควรมีคนควบคุมงานและทำบันทึกผลการตอกเสาเข็มด้วยข้อมูลจริง

จุดที่ ๔ ก่อผนังไม่มีทับหลัง

สำหรับงานก่ออิฐที่ดิน นอกจากต้องใช้วัสดุที่ถูกต้องตามแบบรายการวัสดุก่อสร้างแล้ว วิธีการก่อสร้างก็สำคัญไม่แพ้กัน มาตรฐานการก่อผนังอิฐจะต้องมีเสาเข็มและทับหลังในจุดสำคัญ หากผู้รับเหมาไม่ทำให้ถูกต้องจะทำให้การรับแรงของผนังลดน้อยลงจะเกิดรอยร้าวในระยะต่อมาและเกิดการโยกคลอนได้ง่าย

จุดที่ ๕ ใช้เสาเข็มสั้นเกินไป

งานก่อสร้างชนิดต่อเติมอาคาร ผู้รับเหมาซึ่งใช้วิธีการผิดๆเช่น การก่อสร้างส่วนต่อเติมเข้าไปเชื่อมติดกับอาคารเดิมด้วยเสาเข็มสั้น จะเกิดการทรุดตัวที่แตกต่างกันระหว่างอาคารเดิมและส่วนต่อเติมภายหลังโครงสร้างเก่าและโครงสร้างใหม่ก็จะเกิดการแยกตัว

จุดที่ ๖ ลดคุณภาพเหล็ก

ผู้รับเหมาที่เจตนาไม่ดีมักหาช่องทางในการลดต้นทุนด้วยการลดคุณภาพเหล็ก เช่นเหล็กเส้นก็เลือกเหล็กไม่เต็มขนาด เจ้าของบ้านจึงควรให้มืออาชีพเข้ามาควบคุมดูแลการใช้วัสดุอย่างใกล้ชิด

จุดที่ ๗ การปรับความลาดเอียงของจุดรับน้ำต่างๆ

พื้นที่รับน้ำต่างๆ ตั้งแต่พื้นห้องน้ำ ทางเดินภายนอก และอื่นๆ จะต้องทำให้มีความลาดเอียงเพื่อมิให้เกิดน้ำขังเป็นอันตรายทำให้ผู้ใช้ลื่นล้มได้ ผู้รับเหมาที่ดีจะต้องทดสอบด้วยการราดน้ำและปรับแก้ความลาดเอียงในจุดที่น้ำขังตัวให้

จุดที่ ๘ งานเดินท่อต่างๆ

งานประปาเป็นจุดหนึ่งที่ผู้รับเหมาหมกเม็ดไว้ เช่น การใช้ท่อที่ไม่แข็งแรงพอ การต่อท่อแบบไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะได้ข้อต่อที่ไม่แข็งแรงและรั่วซึมในจุดที่มองไม่เห็นและที่แย่กว่านั้นคือไม่ทดสอบแรงดันของท่อน้ำ
ที่บางจุดอาจวางในพื้นที่ไม่ได้ระดับกัน


จุดที่ ๙ งานทาสี

ผู้รับเหมาอาจตบตาด้วยถังสียี่ห้อที่มีคุณภาพมาเป็นภาชนะใส่สี เจ้าของบ้านควรตรวจสอบด้วยการให้ผู้รับเหมาเปิดถังสีใหม่เมื่อเริ่มทาสีเพราะฝาถังจะมีแหวนรัดรอบซึ่งทำปลอมได้ยาก

จุดที่ ๑๐ งานรองพื้น

สำหรับงานสี เช่นสีรองพื้นกันสนิมที่ใช้ทำโครงสร้างเหล็กหลังคา หากกำหนดให้ทาสองรอบ ผู้รับเหมาที่มักง่ายมักทารอบเดียวแล้วส่งงานเลย ควรใช้สีแตกต่างกันในรอบแรกและรอบสอง ตรวจสอบได้ง่ายจากการขูดดูชั้นของสี

๑๐ข้อที่เล่ามาเบื้องต้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งในจิปาถะกับการสร้างบ้านสักหนึ่งหลังเพียงเล็กๆน้อยๆก็สามารถทำให้ผู้อยากจะมีบ้านในฝันได้รู้ทันไว้บ้างก็จะดี...ข้อมูลจากหนังสือบ้านและสวนโดยคุณศักดา ประสานไทย


มงคลชีวิต



อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน
อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา
อย่าเสวนาคนชั่ว อย่ามั่วอบายมุข
อย่าชิงสุกก่อนห่าม อย่าพล่ามก่อนทำ
อย่ารำก่อนเพลง อย่าข่มเหงผู้น้อย
อย่าคอยแต่ประจบ อย่าคบแต่เศรษฐี
อย่าดีแต่ตัว อย่าเอาชั่วใส่คนอื่น
อย่าฝืนกฎระเบียบ อย่าเอาเปรียบสังคม
อย่าชมคนผิด อย่าคิดเอาแต่ได้
อย่าใส่ร้ายคนดี อย่ากล่าววจีมุสา
อย่านินทาพระเจ้า อย่าขลาดเขลาเมื่อมีทุกข์
อย่าสุขจนลืมตัว อย่าเกรงกลัวงานหนัก
อย่าพิทักษ์พาลชน อย่าลืมตนเมื่อมั่งมี

สุภาษิตสอนนาย

•นายที่ดีต้องเอาใจใส่ลูกน้อง
•คอยสอดส่องทุกข์สุขอยู่ทุกด้าน
•คอยช่วยเหลือเมื่อลูกน้องนั้นต้องการ
•แต่ไม่ถึงกับจุ้นจ้านจนเกินควร

•งานสำเร็จลงก็ด้วยเขาช่วยกัน
•ไม่ควรดื้อถือรั้นไม่ฟังห้าม
•เป็นนายเขาเอาแต่ใจใครจะตาม
•ควรฟังความเห็นอื่นบ้างเป็นทางดี

•ไม่จำเป็นต้องศึกษามากกว่าเขา
•ให้เป็นหลักพอเป็นเค้าเขาเชื่อมั่น
•แม้เป็นนายรู้จักใช้สบายครัน
•ไม่จำเป็นต้องฟาดฟันอยู่คนเดียว

•อันหัวหน้าที่ดีมีเมตตา
•ปรารถนาให้เขาสุขทุกสถาน
•มีกรุณาคอยช่วยด้วยต้องการ
•ให้เขาผ่านพ้นทุกข์มีสุขใจ

•หัวหน้าดีนั้นให้เห็นเป็นตัวอย่าง
•ช่วยเขาทำทุกอย่างจนรอบด้าน
•ไม่เอาเปรียบใช้คนอื่นตัวชื่นบาน
•แล้วเสนอผลงานเพื่อตนเอง

การประเมินผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ

วิธีประเมินผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ
หลักเกณฑ์และคุณสมบัติ (ประกาศใช้ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑)

ดำรงตำแหน่งชำนาญการพิเศษไม่น้อยกว่า ๓ ปี
บริหารสถานศึกษาเต็มเวลา
ได้ปฏิบัติงานและมีผลงานในสถานศึกษาย้อนหลัง ๒ ปี
การขอรับการประเมิน
ขอรับการประเมินได้ปีละ ๑ ครั้ง และให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือนแต่ไม่เกิน ๑ ปี
ผู้ขอขอด้วยตนเองหรือหน่วยงานเสนอขอให้
ผู้ เกษียณให้ยื่นก่อนเกษียณไม่น้อยกว่า ๖เดือน
ต้องผ่านการประเมิน ๓ ด้าน ดังนี้
๑. ด้านความประพฤติ วินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ
๒. ด้านคุณภาพการบริหารและการพัฒนาสถานศึกษา พิจารณาจาก

๒.๑ ประจักษ์พยานการบริหารสถานศึกษา
๒.๒ รายงานการประเมินตนเองอย่างน้อย ๑ ปีการศึกษา
๓. ด้านผลการบริหารและการพัฒนาสถานศึกษา พิจารณาจาก
๓.๑ ผลการประเมินคุณภาพภายใน,ผลการประเมินคุณภาพภายนอก, คะแนนผลการทดสอบระดับชาติ, ผลการทดสอบของแต่ละหน่วยงาน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน อย่างน้อย ๒ ปีการศึกษา รวมทั้งความร่วมมือของชุมชน ความสำเร็จในการพัฒนาครู สถานศึกษาและชุมชน
๓.๒. รายงานการวิจัยสถาบัน
วิจัยสถานศึกษาของตนและนำผลไปใช้ในการบริหารสถานศึกษาแล้วประสบผลดี สามารถเป็นแบบอย่างได้

๓.๓ . นวัตกรรมและการรายงานพัฒนา
รายงานการพัฒนานวัตกรรมการบริหารสถานศึกษาซึ่งนำไปใช้บริหารสถานศึกษาแล้วประสบผลดีสามารถเป็นแบบอย่างได้

ผู้ที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนวิทยฐานะต้องมีผลการประเมินของคณะกรรมการเป็นเอกฉันท์ โดยมีผลการประเมินแต่ละด้านดังนี้
๑.. ด้านความประพฤติ วินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพอยู่ในเกณฑ์ ผ่านและเป็นแบบอย่างที่ดี
๒. . ด้านคุณภาพการบริหารและการพัฒนาสถานศึกษา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗๕
๓. ด้านผลการบริหารและการพัฒนาสถานศึกษา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗๕
การพิจารณาอนุมัติผลการประเมินให้ก.ค.ศ.เป็นผู้อนุมัติสำหรับผู้ที่ยื่นคำขอในช่วงวันที่ ๑ ถึง ๓๐ เมษายนให้มีผลไม่ก่อนวันที่ ๑ พฤษภาคมของปีที่ขอหรือผู้ที่ยื่นคำขอในช่วงวันที่ ๑ ถึง ๓๑ ตุลาคมให้มีผลก่อนวันที่ ๑ พฤศจิกายนของปีที่ขอ
วิธีการประเมินด้วยวิธีปกติ
ให้ยื่นคำขอด้วยตนเองต่อหัวหน้าส่วนหรือผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและรับรองแล้วส่งสำนักงานก.ค.ศ.ในช่วงวันที่๑ ถึง ๓๐เมษายนหรือ๑ ถึง ๓๑ตุลาคม
ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ตรวจสอบคุณสมบัติและรับรองข้อมูลว่าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับการประเมิน

ให้ผู้รับการประเมินส่งเอกสาร ดังนี้
ประจักษ์พยานการบริหารสถานศึกษา ๑ ชุด
รายงานการประเมินตนเองรวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่อื่นที่ได้รับมอบหมายอย่างน้อย ๑ปีการศึกษา ๑ชุด
รายงานการวิจัยสถาบัน/การวิจัยสถานศึกษาของตนเองนำไปใช้ในการบริหารแล้วประสบผลดีเป็นแบบอย่างได้ อย่างน้อย ๑ชิ้น
นวัตกรรมและรายงานการพัฒนานวัตกรรมการบริหารสถานศึกษานำไปใช้แล้วประสบผลดีเป็นแบบอย่างได้ อย่างน้อย ๑ชุด
สำเนาทะเบียนประวัติข้าราชการ ก.พ.๗ รับรองโดยผู้บังคับบัญชา
สำนักงานเขตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารและส่งสำนักงาน ก.ค.ศ.
ก.ค.ศ.ตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน ๓ คน ต่อผู้ขอ ๑ราย เป็นกรรมการประเมิน
การประเมินให้ประเมินตามแบบที่ ก.ค.ศ. กำหนด
หากผ่านเกณฑ์การประเมินด้านที่ ๑แล้วให้ทำการประเมินด้านคุณภาพการบริหารและพัฒนาสถานศึกษาและด้านผลการบริหารและพัฒนาสถานศึกษาต่อไป
คณะกรรมการส่งผลการประเมินให้สำนักงาน ก.ค.ศ. พิจารณา
กรณีไม่อนุมัติสามารถส่งคำขอประเมินใหม่ได้ในปีต่อไป
กรณีอนุมัติให้เสนอผู้มีอำนาจตามมาตรา ๕๓ พิจารณาดำเนินการบรรจุและแต่งตั้งและรายงาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาเพื่อทราบ